วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตะลุยโลกทิพย์ครั้งแรกในชีวิต


ครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับโลกทิพย์แบบเต็มๆ คือ วันที่เปิดญานทัศนะ หรือที่เป็นรู้จักกันมากในอีกชื่อหนึ่ง คือเปิดตาที่สาม นั้นเองค่ะ



ข้าพเจ้าได้ให้อาจารย์ท่านหนึ่ง ทำพิธีเปิดญานทัศนะให้ด้วยการใช้ไข่ไก่ถูที่ตา หน้าผาก หน้าอก(ใจ) แขน มือ และตามตัวต่างๆ ค่ะ แต่จะเน้นที่ตา หน้าผากและมือ มากกว่าที่อื่นค่ะ



หลังจากทำพิธีไหว้ครูกันเรียบร้อยแล้วอาจารย์ก็ถูไข่ไก่ที่ตาข้าพเจ้าประมาณ 2-3นาทีก็เกิดแสงสีส้มๆค่อยๆจ้าขึ้นๆ จนแสบตา จำได้ว่าคำถามแรกที่อาจารย์ถามคือ  

อาจารย์  :  “นับถือพระราหูหรอครับ”
ข้าพเจ้า  :  “ใช่ค่ะ” ข้าพเจ้าได้ทำพิธีไหว้พระราหูและบูชามาพอสมควรค่ะ


ช่วงที่พระราหูดังๆ นั่นแหละค่ะ แต่ทุกวันนี้ถึงท่านจะไม่ดังเหมือนช่วงนั้นแล้วแต่ข้าพเจ้าก็ยังนับถือท่านไม่เคยเปลี่ยนค่ะ



และอาจารย์ก็พาข้าพเจ้าเข้าไปสัมผัสกับโลกทิพย์ทางตา โดยการมองเห็นเหมือนภาพนิมิตที่เกิดตอนเรานั่งสมาธิน่ะค่ะ บางทีไม่มีภาพแต่รู้สึกได้ด้วยกายและได้ยินเป็นเสียงเหมือนมีใครมาบอกค่ะ



สิ่งแรกที่เห็นคือ
อาจารย์  :  “รู้สึกอะไรที่ขาด้านซ้ายเราไหม”
ข้าพเจ้าก็มองตาม (ใช้ความรู้สึกว่ามองตามแต่ไม่ได้ลืมตามองนะคะ)

ข้าพเจ้า : "เห็นค่ะ เห็นเด็กผู้ชายอายุ  6-7 ขวบ หน้าตาซีดมากๆ เหมือนคนจมน้ำตายน่ะค่ะ อยู่ที่ขาด้านซ้ายของข้าพเจ้า


เด็กคนนี้ก่อนหน้าที่จะมาเปิดตา เคยเห็น2ครั้งแล้วที่บ้านของข้าพเจ้า  (แล้วจะมาเล่าให้ฟังทีหลังนะเรื่องเด็กคนนี้) อาจารย์ก็บอกว่าเด็กเขาตามมาจากสระน้ำแห่งหนึ่งที่เราไปเที่ยวมาน่ะค่ะ แหะๆ ก็สยองพอสมควรกับสถานที่ที่ว่านี้ ที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวมาน่ะค่ะ เลยได้เด็กคนนี้มาเป็นของฝากจากการเที่ยวครั้งนั้นด้วยเลย 555+

หลังจากตั้งชื่อ โอนบุญให้เด็กคนนั้นเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็พาข้าพเจ้าไปเที่ยวร้านไทยแห่งหนึ่ง



พอไปถึงหน้าร้านก็ขออนุญาตท่านเจ้าที่ ตายายของร้านแห่งนั้น ท่านก็อนุญาตให้เข้าได้ค่ะ พอเข้าไปข้างใน อาจารย์ก็พาชมสิ่งศักดิ์ทั้งหลายที่อยู่ที่ร้านนี้ค่ะ ที่เห็นชัดมากๆเลยก็มี พระพิฆเนศ, พระสุพรรณกัลยา, ท่านเงาะป่า, ขณะที่กำลังเพลินกับการชมบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น ก็ต้องตกใจ เมื่อไปเห็นชายหนุ่มฉกรรจ์ หน้าดุเหมือนนักรบไทยโบราณ ยืนถือมีดด้ามใหญ่มาก ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมากค่ะ แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินเข้าไปข้างในต่อ
ก็เจอนางหนึ่งหน้าตาสวย แต่นุ่งผ้าเก่าๆ สีหมองๆ หน้าเศร้าๆ อาจารย์ให้เราสอบถามที่มาที่ไปของนาง

ข้าพเจ้า :  ท่านเป็นใครหรอ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ผีสาว     :  เราเป็นผีตายโหงโดนคาถาอาคมสะกดไว้ เป็นผีในน้ำมันพราย อยู่ในขวดน้ำมันพรายนั้นน่ะ
ข้าพเจ้า :  โถ..ช่างน่าสงสารจัง   อาจารย์มีวิธีช่วยนางอย่างไรได้บ้างไหมค่ะ
อาจารย์  :   มีซิ  เจ้าก็โอนบุญของเจ้าน่ะ ให้แม่นางเขา และขออารธนาบารมีพระรัตนตรัย ท่านท้าวเวสสุวรรณขอคลายคาถาอาคมที่สะกดนางไว้อยู่ ณ บัด

ข้าพเจ้าก็ทำตามที่อาจารย์บอกทุกอย่างและขณะที่โอนบุญให้นาง เมื่อข้าพเจ้าโอนบุญให้นางไปปุ๊ป นางพนมมือรับอนุโมทนาบุญจากข้าพเจ้า จากที่เสื้อผ้าหมองๆเก่าๆ นั้นกลายเป็นใหม่เอี่ยม หน้าตาสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตา นางมีแสงรอบตัวด้วย โอ้...เป็นอย่างนี้นี่เองที่เขาพูดกันว่าเมื่อผีได้อนุโมทนาบุญจากเราแล้วเขาจะเปลี่ยนภพภูมิได้ เป็นเช่นนี้เอง เรารู้สึกปิติ ปลื้ม และภูมิใจมากที่ได้เห็นภาพนั้น เพราะสิ่งนี้ด้วยที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจอยากเปิดญานทัศนะ ทั้งๆที่เป็นคนกลัวผีมากถึงมากที่สุด แต่ด้วยความอยากเห็นภาพนี้กับตาหลังจากที่ได้ยินและได้ฟังจากที่เขาเล่าๆกันมาน่ะค่ะ เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจหาคำพูดใดมาเปรียบเปรยได้เลย ว่าปลาบปลื้มและภูมิใจกับบุญที่เราได้ทำมาทั้งหมดนั้น ได้โอนให้ผีที่ทุกข์แล้วเขาสามารถดีขึ้นได้ทันตาขนาดนี้เลย.....สุขแบบสุดจะบรรยายจริงๆค่ะ

ผีสาว     :  ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า  ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านเลย
ข้าพเจ้า :  ไม่เป็นไรหรอกแม่นาง  เรายินดีและดีใจที่เห็นท่านดีขึ้นเช่นนี้ค่ะ



หลังจากโอนบุญให้นางผู้นั้นไปแล้ว ก็มีผีตัวอื่นออกมาอีกกันมาก ข้าพเจ้าก็โอนบุญให้แบบรวมๆ ให้ทุกตนเลย เขาก็ยกมืออนุโมทนากัน ก็เปลี่ยนไปเป็นเทวดานางฟ้ากันมากมายนับร้อยๆ ตนได้ค่ะ หลังจากที่ผีเหล่านั้นได้รับบุญและเปลี่ยนภพภูมิไปแล้ว ข้าพเจ้าก็กำลังปลื้มกับผลงานของตัวเองอยู่นั้น

ก็ต้องตกใจสุดขีดอีกครั้งกับหนุ่มฉกรรจ์หน้าตาดุท่านนั้น แต่คราวนี้เขาไม่ได้มาแค่ 1 แต่มาถึง 3 ตน แต่มี 1 ตนที่ถือ มีดใหญ่มาก ทั้ง 2 มือ โพกผ้าที่หน้าผาก นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลเก่าๆ ดูดุและน่าเกรงขามมากเลย 3 ท่านนี้ไม่ยอมรับบุญจากข้าพเจ้าหนำซ้ำยังดุใส่ข้าพเจ้าอีก ด้วยความที่มือใหม่ เลยเรียกหาอาจารย์ทำไงต่อไปดี เพราะดูท่าแล้วเขาจะไม่ยอมให้เรากลับไปง่ายๆแน่ เหมือนอยากจะฆ่าจะแกงเราให้ได้ แล้วอาจารย์ก็ถามที่มาที่ไป ของพวกเขากัน

อาจารย์   :  ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ที่ร้านนี้ได้
ผีทหารโบราณ  :  ข้าถูกจับมาเป็นบริวารและมาทำตามหน้าที่ที่หมอผีสั่งมา
อาจารย์   :   เขาสั่งให้พวกเจ้ามาทำอะไรรึ
ผีทหารโบราณ  :  มาทำร้ายเจ้าของร้านนี้ และฆ่าทุกคนที่ขัดขวาง

“โห..ขนาดนั้นเลยหรอ ใจร้ายจัง” ข้าพเจ้าเผลอร้องออกไป

คนที่ถือมีด 2 มือนั้นหันมามองข้าพเจ้าด้วยสายตาอันหน้ากลัวเหมือนอยากจะฆ่าข้าพเจ้าเสียให้ได้ ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมาก กลัวสุดขีดแต่ก็ไม่รู้ทำไม ถึงยังอยู่ตรงนั้นต่อได้ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร และอาจาย์ก็ทั้งกล่อม ทั้งขู่ ให้ 3ตนนั้นยอมซะดีๆ พูดกันดีๆ อย่าให้ถึงต้องเรียกท่านพญายมมาเลย มี 2 ตนที่ยอมอ่อนข้อ และยอมรับบุญจากข้าพเจ้าแต่โดยดีแล้วเขาก็เปลี่ยนไปมีสีสันมากขึ้นแต่ยังไม่ใช่เทวดาเต็มตัวเป็นกึ่งผีกึ่งเทวดาไป

แต่อีก 1 ตน ที่ดุกว่าเขาไม่ยอม ทำอย่างไรก็ไม่ยอมจะฆ่ากันให้ได้ว่างั้น อาจารย์จึงอัญเชิญท่านท้าวเวสสุวรรณและบริวาร เพื่อมาปราบผีร้ายตนนี้ ที่หนีจากการชดใช้กรรมมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้



สักพักก็มีร่างหนึ่ง สูง ใหญ่มาก ข้าพเจ้ามองจากปลายเท้าท่านไล่ขึ้นไปแหงนหน้าขึ้นจนสุดคอ เพราะร่างท่านใหญ่มากๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะ และเมื่อได้เห็นหน้าของท่าน ข้าพเจ้าอ้าปากค้างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลย ท่านคือ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ค่ะ ท่านมาในร่างเทวดามีใบหน้าที่หล่อมาก คม ตาดุ แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น เคยได้ยินแต่ว่าท่านท้าวเวสสุวรรณเป็นยักษ์ หน้าดุๆ มีเขี้ยว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านท้าวเวสสุรรณจริงแล้วท่านก็มีภาคที่เป็นเทวดาที่หล่อมากๆ ด้วย



อาจารย์คงเห็นข้าพเจ้าตะลึงกับความหล่อ เอ้ย..ไม่ใช่ ตะลึงกับการเห็นท่านครั้งแรกในชีวิตไม่รู้จะต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง อาจารย์จึงบอกให้ข้าพเจ้าว่า

อาจารย์ : เอ้า..มัวแต่ตาค้างอยู่นั้นแหละก้มลงกราบท่านและขอบารมีท่าน ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านซะ

ข้าพเจ้าก็ทำตามที่อาจารย์บอกทุกอย่าง



จากนั้นท่านก็สั่งให้บริวารท่านจับผีหนุ่มฉกรรจ์หน้าโหด ตนนั้นไป ขนาดว่าโดนใส่โซ่ล่ามอันใหญ่แล้วนะ แต่สายตาที่เขาจ้องมองข้าพเจ้าหน้ากลัวมากเหมือนแค้นข้าพเจ้ามาก



“ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม จากท่านทุกประการไว้ ณ ที่นี่ด้วยเถิด” ข้าพเจ้าได้กล่าวขอขมาจากผีตนนั้นก่อนที่เขาจะหายไปกับท่านนิรบาล แล้วข้าพเจ้าก็หันมามองอีกด้านของร้านที่เหล่าเทวดานางฟ้าท่านอยู่กัน ต่างพากันดีใจกันใหญ่ เหมือนว่าได้เป็นอิสระกันแล้วอย่างนั้น



และข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็เข้าไปกราบท่านท้าวเวสสุวรรณอีกครั้งเพื่อขอบพระคุณที่ท่านเมตตามาโปรดช่วยเหลือ เมื่อข้าพเจ้าแหงนหน้ามองท่านอีกครั้ง ท่านก็หายไปค่ะ




เป็นการสัมผัสโลกทิพย์แบบเต็มๆ ครั้งแรก ที่ทั้งหน้ากลัว สยดสยอง เกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ แต่ก็ได้เห็นภาพที่ประทับใจมากที่สุด ได้เห็นในสิ่งที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเปิดญานทัศนะ ได้เห็นท่านท้าวเวสสุวรรณตัวจริงๆ (จะเรียกอย่างไรดีหนอ) ที่ไม่ใช่ตามวัดวาอารามหรือจากในฝัน ใดๆ ถือว่าเป็นความประทับใจแรกที่มิอาจลืมเลือนได้เลยค่ะ




ยังค่ะยังไม่จบแค่นี้กับการสัมผัสโลกทิพย์ครั้งแรกของข้าพเจ้า เพราะหลังจากที่กลับมาจากร้านแห่งนั้นแล้ว มาอยู่ที่บ้านคุณแม่ของข้าพเจ้ากำลังจะถอนก็ได้มีเจ้ากรรมของข้าพเจ้าเอง ได้มาทวงถามหนี้ ที่ข้าพเจ้าเคยติดพวกเขามากัน(ไม่ใช่เจ้าหนี้เงินกู้นะ แต่เป็นเจ้าหนี้กรรม) เจ้ากรรมของข้าพเจ้าจะมาทวงถามแบบไหนและทำอย่างไรกับข้าพเจ้าบ้างนั้น ติดตามต่อในตอนหน้านะคะ









คำเตือน : ตัวละคร เนื้อเรื่องและสถานที่ มีจริงและเกิดขึ้นจริง แต่ท่านโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านนิทานโลกทิพย์นะคะ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ทุกบทความในเวป http://www.banimboon.blogspot.com/ เป็นลิขสิทธิ์
ของบ้านอิ่มบุญ ห้ามดัดแปลง คัดลอก หรือนำไปเผยแพร่
ก่อนได้รับอนุญาต

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก