วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เครื่องรางของผี

เครื่องรางของขลังเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับชาวไทย โดยเฉพาะท่านเซียนพระ เครื่องรางของขลังทั้งหลาย จะชอบสะสมกัน บางอย่างมีราคาเป็นแสนเป็นล้านเลยก็มี



หลายคนที่บูชาเครื่องรางของขลังนั้นมาเพราะกำลังเป็นที่นิยม หรือเพราะศรัทธาผู้ปลุกเสก ผู้จัดสร้าง หรือแม้แต่บูชาเพื่อเก็งกำไร ก็แล้วแต่กันไป



แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของเครื่องรางของขลังชิ้นนั้นที่ตนครอบครองอยู่นี้ เป็นของจริงหรือ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่จริงหรือ ที่สำคัญพิธีกรรมที่ปลุกเสกเครื่องรางของขลังชิ้นนี้เป็นแบบไหน เป็นการปลุกเสกแบบคุณไสยฯ เวทย์มนต์ดำหรือเปล่า จะมีสักกี่คนที่รู้ได้



การบูชาเครื่องรางของขลังนั้นก็นับว่าเป็นสิ่งดีนะ ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นกำลังใจ เป็นที่พึ่งทางใจ แต่..จะให้ดียิ่งกว่า ถ้าเครื่องรางของขลังนั้นมาจากการปลุกเสกแบบคุณไสยฯขาว จะได้ปลอดภัยกับตัวเรา แต่ก็มีหลายท่านค่ะ ที่เขาชอบและสนใจกับเครื่องรางของขลังที่เป็นคุณไสยฯผี คุณไสยฯคน เป็นการจับผีที่ตายโหงมาอยู่ในเครื่องรางนั้นเพื่อให้ตอบสนองตามกิเลสของผู้ที่ครอบครองเครื่องรางฯ นี้ ไม่ว่าจะเพื่อเสน่ห์ เพื่อเรียกทรัพย์ เรียกสามี เรียกหญิง สารพัดที่จะจัดสร้างเครื่องรางฯ เพื่อสนองกิเลสประเภทนี้กัน



แต่คุณผู้ใช้จะรู้ไหมว่าในเครื่องรางของผีชิ้นนั้น นอกจากผีจะทำให้คุณสมดั่งปรารถนา ได้กิเลสทุกอย่างอย่างที่ท่านต้องการแล้ว พวกผีเหล่านั้นก็เกาะกินกายหยาบของคุณด้วย หนำซ้ำคอยดักผลบุญที่เกิดจากการทำบุญของคุณไปอีก ทำบุญไปเถอะไม่มีสะสมหรอกโดนผีมันขโมยไปหมด



และชีวิตหลังความตายแทนที่จะได้ไปเสวยบุญที่ทำมาอยู่บนสวรรค์ กลับไม่ได้ไปล่ะ ต้องโดนหมอผีหรือคนที่ปลุกเสกเครื่องรางของผีชิ้นนั้นแหละสะกดวิญญาณให้ท่านไปเป็นผีอยู่ในเครื่องรางฯ ชิ้นอื่นๆ ต่อไป
ก่อนที่คุณจะไปรับเครื่องรางของผีมาครอบครองนั้น โปรดพิจารณาให้ดี ว่ามันคุ้มแล้วหรือที่ต้องแลกกับอะไรบ้างเพื่อให้ตอบสนองกิเลสของท่านเท่านั้น

อยากเตือนผู้ครอบครองเครื่องรางของผีอยู่ได้รู้และยังไม่สายหากท่านจะเปลี่ยนใจไม่ครอบครองเครื่องรางของผีนั้นอีกต่อไป เพียงท่านนำไปลอยแม่น้ำซะให้หมด ก่อนหย่อนลงไปในแม่น้ำกล่าวว่า “ต่อแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะนับถือและมอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้าเท่านั้น จะไม่นับถือสิ่งอื่นใดอีกต่อไป สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ทำกับท่านไว้ ขอขมาและขออโหสิกรรมด้วยเถิด อยู่ใครอยู่มันอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย” แล้วก็หย่อนเครื่องรางนั้นลงแม่น้ำไป (ให้เป็นน้ำไหล น้ำนิ่งไม่ได้) ห้ามหันไปมองอีกเด็ดขาด และภายใน 7 วัน ห้ามผ่านแม่น้ำนั้นด้วยค่ะ
และไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ให้สม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ท่านก็หลุดจากการครอบงำของผีที่อยู่ในเครื่องรางของผีนั้นค่ะ



เกริ่นนำเรื่องมาซะยาวเลย เพราะทุกวันนี้นอกจากข้าพเจ้าจะดูดวง เปิดกรรมแล้ว ยังต้องมานั่งแก้คุณไสยฯ คุณผีต่างๆ ที่มากับเครื่องรางของขลังทั้งหลายที่ไปบูชากันมา จากเจ้าแม่นั้น จากเจ้าพ่อนี้ จากสำนักร่างทรงต่างๆ กันสารพัด ตอนเขาให้คุณก็มีความสุขกันเปรมแต่พอตอนเขาทวงหรือขอแลกกลับบ้างล่ะ วิ่งหาที่ช่วยแก้กันใหญ่ ตอนทำละไม่รู้จักคิดกันแล้วมานั่งกลุ้มตอนโดนเอาคืนกันล่ะ บอกไม่รู้บ้างล่ะ บอกไม่ได้ตั้งใจบ้างล่ะ เฮ้อ..คนหนอคนเรา เพราะความอยากตัวเดียว



ขอยกเรื่องของท่านหนึ่งเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับท่านอื่นๆ เกี่ยวกับเครื่องรางของผีนี้ ให้ได้เห็นกันว่าเวลาโดนผีในเครื่องรางมันเล่นงานจะเป็นอย่างไร



วันหนึ่งพี่นาย(นามสมมุติ) กับ พี่หญิง(นามสมมุติ) มารับข้าพเจ้ากับอาจารย์จากบ้านญาติธรรมท่านหนึ่ง และจะไปส่งข้าพเจ้ากับอาจารย์กลับบ้าน



เมื่อขึ้นรถและทักทายพี่ทั้ง 2แล้ว ข้าพเจ้าก็คุยกับอาจารย์เกี่ยวกับเครื่องรางของขลังของเจ้าของบ้านญาติธรรมท่านนั้นที่เพิ่งไปเปิดกรรมมาว่าเป็นของดี ของเก่า มีพลังมาก ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น พี่หญิง นั่งด้านหลังฝั่งคนขับ ก็หยิบเครื่องรางของขลังของพี่เขาขึ้นมาบ้างและส่งให้ข้าพเจ้าซึ่งอยู่ข้างๆพี่เขาพร้อมกับเอ่ยว่า
พี่หญิง :  ดูให้พี่บ้างซิ ของพี่เป็นอย่างไรบ้าง มีพลังอะไรไหม



ข้าพเจ้าก็รับเครื่องรางฯชิ้นนั้นมาและทำการขอชมบารมี ตอนที่รับเครื่องรางฯชิ้นนี้มารู้สึกร้อนวาบและยิ่งถือนานก็ยิ่งร้อนมากขึ้น ขณะที่กำหนดจิตดูเครื่องรางฯนั้นก็รู้สึกหนักๆหัว เหมือนมีอะไรวางอยู่บนหัวเรางั้นแหละ เลยเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบน พอดีว่าเป็นรถเปิดหลังคาครึ่งหนึ่งตรงผู้นั่งด้านหน้า ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นตรงหลังคาที่เปิดอยู่นั้น ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับช็อกไปครู่หนึ่ง
เป็นร่างผู้ชายตัวดำๆ ผอมๆ ผมมีไม่เกิน 10เส้นหน้าซูบหนังติดกระดูก ตาโต ดุดันจ้องมองมาทางข้าพเจ้า เกาะอยู่บนหลังคารถที่เปิดครึ่งหนึ่งอยู่ คือ 2มือจับ2มุมของหลังคาด้านหน้ารถที่เปิดอยู่ เท้า 1 ข้างเหยียดไปจับหลังคาด้านหลัง เท้าอีก 1ข้างเหยียบอยู่บนหัวข้าพเจ้า
เมื่อตลึงกับร่างชายดังกล่าวสักพักก็ยื่นเครื่องรางฯชิ้นนั้นให้อาจารย์ซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าข้าพเจ้า



เมื่ออาจารย์รับเครื่องรางฯชิ้นนั้นไปแล้ว อาจารย์ก็บอกว่า
อาจารย์ :  อือ..มันร้อนนะ เรารู้สึกไหมนุ้ย
ข้าพเจ้า :  คะ ค่ะ รู้สึกค่ะ (ตอบไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ นิดหน่อย)



อาจารย์ก็พิจารณาเครื่องรางฯ ชิ้นนั้นต่อ และพี่นาย (คนขับ) ก็หาเครื่องรางฯ ในกระเป๋าของพี่เขาอยากให้อาจารย์ได้ตรวจดูบ้างล่ะ ข้าพเจ้าเห็นท่าไม่ดีแน่เลยบอกไปว่า
ข้าพเจ้า :  เออ..ไว้ถึงบ้านนุ้ยก่อนดีไหมค่ะ แล้วเราค่อยตรวจกันอีกทีเนอะ
พี่นาย :  ตรวจตอนนี้แหละ เดี๋ยวพี่รีบกลับเลยน่ะไม่มีเวลาขึ้นไปบนบ้านเราหรอก



แล้วพี่เขาก็ยื่นเครื่องรางฯของพี่เขาให้อาจารย์ดู ขณะนั้นอาจารย์กำลังตรวจกับชิ้นแรกอยู่ และอีกมือก็รับอีกชิ้นหนึ่งจากพี่นายมา ข้าพเจ้าพยายามทักท่วงห้าม สารพัด แต่ไม่มีใครเชื่อหรือฟังข้าพเจ้าเลย เห็นท่าไม่ดีแน่เลยร้องบอกอาจารย์ไปว่า
ข้าพเจ้า :  อาจารย์เงยหน้ามองบนหลังคาซิ เห็นอะไรไหม



พอสิ้นเสียงของข้าพเจ้าทุกคนก็เงยหน้ามองขึ้นข้างบนกัน พี่หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆข้าพเจ้าก็กรีดร้องออกมา กรี๊ดดดดดดดด อย่างสุดเสียง



ข้าพเจ้านึกในใจว่า “งานเข้าแล้วตรู” ข้าพเจ้าหันไปมองพี่หญิง เขาได้มีท่าทางเปลี่ยนไปทันที จากดวงตาที่หวานใส กลับบึ่งตาโต ตาแข็งใส่ข้าพเจ้า หน้าดุ เหมือนโกรธจัด กัดฟันแน่น มือกำแน่นทั้ง 2ข้าง ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้น รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงสะกิดบอกอาจารย์ให้หันมาดูพี่หญิง อาจารย์ก็หันมาดูและทำสัญญาณว่าไม่บอกให้พี่นายรู้ ไว้ให้ถึงที่ก่อนค่อยบอก



พี่นายได้ยินเสียงเพื่อนร้องมาอย่างตกใจ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนก็ยื่นมือมาด้านหลังและจับขาถามพี่หญิงว่าเป็นอะไร  พี่หญิงไม่ตอบอะไร พี่นายก็พยายามจับมือพี่หญิง และคอยถามไถ่ตลอดระยะทางแต่พี่หญิงไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น ไม่พูดไม่จาอะไรเลย มีแต่ทำตาแข็ง ดุ ใส่ข้าพเจ้าและอาจารย์เท่านั้น อาการเหมือนคนโดนผีเข้านั้นเอง



วันนี้รู้สึกว่าทางกลับบ้านมันยาวนานเหลือเกิน ข้าพเจ้านั่งรถไปก็ระแวงพี่หญิงที่นั่งข้างๆไปด้วย “เผลอแล้วจะกระโดดกันคอเราไหมเนี้ย” นั่งนึกไปตลอดทาง ไม่กล้าเผลอเลยนั่งเหงื่อแตกพรากๆ ทั้งๆที่เปิดหน้าต่างหมดทั้ง 4 บาน เหอะๆ

เมื่อมาถึงบ้านแล้วก็พยายามชวนพี่นายขึ้นไปบนบ้านข้าพเจ้า ชวนทานข้าวด้วยกัน พี่นายก็ปฏิเสธ ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ คือชวนสารพัดว่างั้นเพื่อให้พี่นายขึ้นไปบนบ้านก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่หญิงว่างั้น แต่ชวนอย่างไรก็ตามพี่นายก็ยื่นยันว่าไม่ขึ้นไป
แล้วพี่นายก็หันไปถามพี่หญิงว่าจะขึ้นไปข้างบนไหม เมื่อพี่นายหันมาเห็นพี่หญิงในอาการที่เปลี่ยนไป เหมือนคนโดนผีเข้านั้น พี่นายก็รับคำชวนทันที



พี่นาย : เออ..ปะ ปะ ไปก็ไป (ตอบด้วยน้ำเสียงที่สั้นๆ)
ข้าพเจ้า :  ค่ะ พี่นายหาที่จอดรถก่อนนะ นุ้ยกับอาจารย์รอตรงนี้



ขณะที่พี่นายไปหาที่จอดรถอยู่นั้น ข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับพี่หญิงดี
ข้าพเจ้า :  เอาไงดีๆ อาจารย์
อาจารย์ :  ไม่เอาไงหรอก ก็เอาผีออกจากพี่หญิงซะ
ข้าพเจ้า :  โห..อาจารย์พูดเหมือนง่ายๆเลยเนอะ ผีนะ ไม่ใช่เสื้อผ้าได้เอาออกจากพี่หญิงง่ายๆ
อาจารย์ :  เอ้า..แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ จะให้มันสิงพี่หญิงอยู่อย่างนั้นรึ
ข้าพเจ้า :  เปล่า ให้มันออกแน่ๆค่ะ ว่าแต่จะทำแบบไหนให้เอาออกหรอ
อาจารย์ : ไม่รู้เหมือนกันต้องรอดูสถานการณ์ก่อน สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้พวกนี้ มันเป็นอสูรสิงมากับเครื่องรางฯชิ้นนั้นแหละ
ข้าพเจ้า : ว่าแล้วเชียว ตอนพี่เขายื่นมาให้นะร้อนมากๆเลย แถมโดนมันเอาเท้าเหยียบหัวอีกแน่ะ ก็พยายามบอกกันดีๆแล้ว อยากไม่ฟังกันเองเป็นไงล่ะ งานเข้าเลย
อาจารย์ :  ก็ดีไง เราได้เรียนรู้อีกวิชาเลย
ข้าพเจ้า :  วิชาอะไร
อาจารย์ :  ขับไล่ผีออกจากร่างไง
ข้าพเจ้า : โห..ไม่มีการสอนทฤษฏีใดๆเลยนะอาจารย์ มาถึงให้ปฏิบัติเลยลงสนามจริงๆเลยอะ มันหยองนะ วิชาคาถาอาคมอะไรก็ไม่มีป้องกันตัวเลย จะเอาอะไรไปไล่มันได้ล่ะค่ะ
อาจารย์ : คาถาหรอ "ไม่กลัว" ท่องไว้ๆ  เรียนทฤษฏีไปก็เท่านั้นแหละสู้ปฏิบัติเลยไม่ได้หรอก 555+



ขณะที่อาจารย์กำลังหัวเราะ(เยาะ)ข้าพเจ้าอยู่กับการที่สยองกับผอ สระ อี อยู่นั้น พี่นายก็ร้องเรียกพวกเราใหญ่เลย
พี่นาย :  อาจารย์, นุ้ย มาช่วยพี่หน่อย เร็ว



ข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็เดินไปหาที่รถพี่เขา เห็นพี่นายกำลังพยายามอุ้มพี่หญิงออกมาจากรถ ซึ่งอุ้มไม่ได้ ทั้งฉุดทั้งกระชากก็แล้วไม่ขยับอะไรเลย กับหันหน้ามาจ้องหน้าพวกเราอีก



ข้าพเจ้าเห็นท่าไม่ดีแล้วขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังเรื่องยาวแน่ๆ ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจ(โดยพละการ) เอาผ้ายันต์ผืนใหญ่ ออกมาอาราธนาครูบาอาจารย์แล้วก็โปะไปที่หน้าพี่หญิง พี่หญิงแน่นิ่งไป คอทิ่มลง ตัวอ่อนปวกเปียกลงไปเลย อาจารย์กับพี่นายก็พยายามอุ้มพี่หญิงออกมาจากรถ และอาจารย์ก็แบกพี่เขาขึ้นบันไดอีก 3 ชั้นเพื่อขึ้นไปบนห้องของข้าพเจ้า
ระหว่างทางที่อุ้มขึ้นบันไดนั้น ก็มีบางทีที่พี่หญิงฝืนขึ้นมาและทำท่าจะบีบคออาจารย์ให้ได้ ข้าพเจ้าก็เอาผ้ายันต์ผืนนั้นโปะไปที่บนหัวอีก คราวนี้ไม่เอาออกเลย จนถึงบนห้องข้าพเจ้า



เมื่อถึงห้องข้าพเจ้าแล้วก็จัดการเอาพี่หญิงไปที่ห้องรับแขก จุดธูปเทียนบูชาครูบาอาจารย์ และบอกให้ลูกและแม่ของข้าพเจ้ารวมทั้งแฟนแม่ด้วยให้ไปอยู่ที่ห้องนอนกัน ห้ามออกมาเด็ดขาด



แล้วข้าพเจ้าก็เข้าไปที่ห้องรับแขกต่อ เห็นพี่หญิงในท่าทางขึงขังขึ้นมาอีกแล้วเพราะผ้ายันต์ได้หล่นออกมาจากหัวพี่เขา ไม่รู้ว่าหล่นตอนไหน ข้าพเจ้าจะเอาไปคลุมพี่หญิงอีก แต่อาจารย์ห้ามไว้
อาจารย์ :อย่าเลยคลุมไปก็ช่วยได้แค่ชั่วคราวพี่เขาคงไม่สามารถอยู่กับผ้ายันต์บนหัวไปตลอดชีวิตได้หรอกนะ



ข้าพเจ้าจึงพับผ้ายันต์นั้นเสียและมาเหน็บไว้ที่บ่าข้าพเจ้าเอง (ปลอดภัยไว้ก่อน เหอะๆ)และข้าพเจ้าก็คิดๆ ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งเป็นเสียงผู้หญิงบอกกับข้าพเจ้าว่า

"ใช้หลักเมตตานะลูก" กลืนน้ำลายอึกใหญ่ๆ หนึ่งครั้ง และถอนหายใจเฮือกใหญ่ 1ครั้ง เป็นการเตรียมความพร้อมเผชิญหน้ากับผี แล้วก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆ พี่หญิง (โอ้..ตอนนั้นทั้งกลัวทั้งสยองแต่ไม่รู้ว่าเข้าไปนั่งข้างๆได้อย่างไร) อาจารย์บอกให้ข้าพเจ้าเกลี่ยกล่อมพี่หญิงให้เขาทำใจแข็งสู้กับมันอย่ากลัว ส่วนอาจารย์ก็ชวนผี พูดคุยสารพัดเหมือนกับว่านั่งคุยกับคนทั่วไปงั้นแหละ เหอะๆ



ข้าพเจ้าเอามือพี่หญิงมากุมไว้ ในขณะเดียวกันก็พยายามสอดผ้ายันต์ท่านท้าวเวสสุวรรณเข้าไปในกำมือของพี่เขา จับนวดแขนขาให้ ทำสารพัดให้พี่เขารู้สึกผ่อนคลายลง เมื่อเกลี่ยกล่อมไปได้สักพักใหญ่ๆ อาจารย์ก็บอกให้ข้าพเจ้าว่า
อาจารย์ : ปลุกกำลังใจพี่หญิงเขาเร็ว ให้เขาเข็มแข็งขึ้น ให้เขาสู้กับผีไม่ยอมให้มันสิงได้
ข้าพเจ้า : จะปลุกอย่างไรล่ะอาจารย์
อาจารย์ :  ก็คิดซิ พูดอย่างไรให้เขามีกำลังที่จะอยู่ต่อ ที่จะสู้



ข้าพเจ้าก็คิดๆๆๆๆ ทำอย่างไรดี พูดอย่างไรดี  ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่หญิงเขามีลูกสาวนี่ ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูก เท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าก็พูดปลุกกำลังใจพี่หญิงเขาทันที
ข้าพเจ้า  : พี่หญิงสู้ๆ นะ พยายามทำใจแข็งไว้ อย่าไปกลัวมัน พี่หญิง ลูกพี่รอพี่กลับบ้านอยู่นะ  พี่เป็นอะไรไปลูกพี่จะทำอย่างไร ทำใจแข็งๆนะพี่ อย่าไปกลัว มันจะครอบงำพี่ต่อไม่ได้หากพี่ใจแข็งสู้มันนะ ถ้าพี่กลัวมันก็จะสิงพี่อยู่อย่างนี้ตลอดไปนะ พี่นึกไว้ๆ ว่าลูกรอพี่อยู่นะ ทำเพื่อลูกนะพี่



ข้าพเจ้าก็พูดๆๆไปสารพัด พี่หญิงก็มีอาการเป็นตัวพี่เขาเองสลับกับเป็นอีกคนหนึ่งไปบ้าง สลับกันอยู่อย่างนี้ สักพัก พี่หญิงก็กลั่นใจ หายใจเฮือกออกมาชุดใหญ่ แล้วพี่เขาก็หัวทิ่มลงเก้าอี้เลยตัวอ่อนลงไปทันที ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นรีบเอาผ้ายันต์ที่ข้าพเจ้าเหน็บไว้ที่บ่ากางออกมาแล้วคลุมไปที่ตัวพี่เขาทันที และเราก็เขย่าปลุกเรียกพี่เขาอยู่พักใหญ่ พี่เขาก็รู้สึกตัวขึ้นมา ด้วยอาการสลึมสลือมึนงง ตาลอยๆ มองไปรอบๆตัวแล้วก็ถามพวกเราว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพี่”
พี่นาย :  ก็เธอโดนผีเข้าน่ะซิ

พี่หญิงหันมามองหน้าข้าพเจ้ากับอาจารย์ เหมือนจะถามว่าจริงหรอ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถามข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็พยักหน้า
พี่หญิงร้องไห้โฮขึ้นมาเลย ด้วยความกลัว และถามเรื่องราวความเป็นมาว่ามันเกิดได้อย่างไร พี่นายก็เล่าให้ฟังทั้งหมด แล้วพี่นายก็ถามขึ้นมาว่า
พี่นาย :  เออ แล้วผีมันมาจากไหนหรอ (เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครบอกพี่นาย)



ข้าพเจ้ากับอาจารย์มองหน้ากัน และอาจาย์ก็พยักหน้าเหมือนจะบอกว่าให้บอกพี่เขาไป ข้าพเจ้าก็หยิบเครื่องรางฯ (เจ้าตัวต้นเหตุ) นั้นออกมา และบอกว่าผีมันอยู่ในนี้
พี่นายและพี่หญิงหน้าตาตื่นตระหนกกัน และร้องมาพร้อมกันเลยว่า “เป็นไปได้อย่างไร”
พี่หญิง: เครื่องรางฯชิ้นนี้ ครูพี่เป็นคนให้มาฝากให้เพื่อนพี่เอามาให้พี่โดยเฉพาะเลยนะจากเมืองไทย จะเป็นไปได้อย่างไร
ข้าพเจ้า : แล้วพี่รู้ไหมว่าครูพี่น่ะ เขาปลุกเสกแบบไหนกับเครื่องรางฯชิ้นนี้
พี่หญิง : ก็ปลุกเสกทั่วไปนั้นแหละมั่ง
ข้าพเจ้า : มั่ง ?? (เหมือนถามย้อนพี่เขาไปอีกที)
พี่หญิง : พี่ก็ไม่รู้ซิ แต่ครูพี่ท่านนี้ นับถือกันมานานแล้วนะ อยากได้อะไรไปขอท่านนะได้ทุกอย่างเลย พี่และเพื่อนๆพี่นับถือท่านมากเลย ท่านมีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองแถบอีสานเลยนะ



ข้าพเจ้ากับอาจารย์มองหน้ากันอีกครั้งและส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจพร้อมกันเลย และอาจารย์ก็เอ่ยถามพี่หญิงไปว่า
อาจารย์ : งั้นก็แสดงว่าไม่เชื่องั้นซิ ว่าผีมันออกมาจากเครื่องรางฯชิ้นนี้
พี่หญิง :เออ..ไม่ใช่อย่างงั้นนะ แต่แปลกใจน่ะว่าผีจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร เมื่อของนี้เป็นองค์พระนารายณ์ผีจะเข้าไปอยู่ได้หรอ
อาจารย์ : รูปภายนอกน่ะ เป็นองค์พระนารายณ์ก็จริงอยู่ แต่ภายในน่ะไม่ใช่ท่าน เป็นอสูรกายตัวหนึ่งที่โดนสะกดวิญญาณไว้ในเครื่องรางชิ้นนี้ เพื่อคอยให้เจ้าได้ทุกอย่างสมดังกิเลสที่อยาก และเมื่อมันให้เจ้าได้อย่างที่เจ้าต้องการแล้วมันก็จะเอาร่างเจ้านั้นแหละเป็นสิ่งตอบแทน เพื่อที่มันจะได้มีกายหยาบอยู่ และดึงเอาวิญญาณเจ้าออกไปจากร่างเจ้าเอง



เมื่ออาจารย์พูดจบพี่หญิงหน้าซีด ตาค้าง แทบจะเป็นลม พี่นายรีบเข้าไปประคอง กุมมือพี่หญิงไว้และข้าพเจ้าหายาดมมาให้
พี่หญิง : พี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ว่าเครื่องรางของขลังชิ้นนี้จะเป็นเครื่องรางของผี ไปได้
พี่นาย : ถึงว่าพักนี้เธอดูเปลี่ยนไป บางทีเธอดูดุมาก โดยเฉพาะสายตาเธอนะ หน้ากลัวมากจนบางครั้งเราไม่กล้ามองหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยคิดว่านั้นไม่ใช่เธอ
พี่หญิง : เพื่อนๆที่ทำงานก็บอกฉันเหมือนกัน ว่าฉันชอบทำตาดุใส่พวกเขากันอย่างกับจะเลือดกินเนื้อกันนั้นแหละ ฉันก็ว่า ฉันไม่ได้ทำตาดุ ใส่น่ะ ไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ยังยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ฉันชอบทำตาดุใส่พวกเขาจริงๆ และบ่อยด้วย
โอ้ย...นี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี้ย ของที่เคยเคารพบูชามาตั้งนาน กับกลายเป็นผีซะงั้น กลายเป็นที่ฉันกราบไหว้นั้นคือผีงั้นหรอ ฮื่อๆๆๆๆๆ



พี่หญิงนั่งร้องไห้เป็นพักกว่าพวกเราจะปลอบให้พี่เราสงบสติลงได้ และพี่ทั้ง 2 ก็ขอลากลับบ้านกันโดยทิ้งเครื่องรางของผี ไว้กับพวกเรา (ซะงั้น)
ข้าพเจ้า : อาจารย์แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันล่ะ
อาจารย์ : พรุ่งนี้เช้าก็เอาไปทิ้งแม่น้ำซะ หรือไม่ก็เอาไปไว้ที่วัด
ข้าพเจ้า : แล้วกว่าจะพรุ่งนี้เช้ามันไม่มาหาเราอีกหรอ
อาจารย์ : มันมานุ้ยก็นั่งคุยกับมันล่ะกันนะ อาจารย์ไปอาบน้ำเข้านอนก่อนล่ะไม่ไหวแล้วเหนื่อย
ข้าพเจ้า : เอ้า..ไงทิ้งกันซะงั้นอะ ไม่เอาอะ ไม่มานั่งคุยกับผีเหมือนอาจารย์หรอกนะ ไปนอนด้วย อึ๋ย..ย







แล้วเครื่องรางของขลังที่ท่านคล้องอยู่นั้น เป็นเครื่องรางของผี ด้วยหรือเปล่าเอ่ย..ย





ทุกบทความในเวป http://www.banimboon.blogspot.com/ เป็นลิขสิทธิ์
ของบ้านอิ่มบุญ ห้ามดัดแปลง คัดลอก หรือนำไปเผยแพร่
ก่อนได้รับอนุญาต

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก