วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เครื่องรางของผี

เครื่องรางของขลังเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับชาวไทย โดยเฉพาะท่านเซียนพระ เครื่องรางของขลังทั้งหลาย จะชอบสะสมกัน บางอย่างมีราคาเป็นแสนเป็นล้านเลยก็มี



หลายคนที่บูชาเครื่องรางของขลังนั้นมาเพราะกำลังเป็นที่นิยม หรือเพราะศรัทธาผู้ปลุกเสก ผู้จัดสร้าง หรือแม้แต่บูชาเพื่อเก็งกำไร ก็แล้วแต่กันไป



แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ประวัติความเป็นมาที่แท้จริงของเครื่องรางของขลังชิ้นนั้นที่ตนครอบครองอยู่นี้ เป็นของจริงหรือ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่จริงหรือ ที่สำคัญพิธีกรรมที่ปลุกเสกเครื่องรางของขลังชิ้นนี้เป็นแบบไหน เป็นการปลุกเสกแบบคุณไสยฯ เวทย์มนต์ดำหรือเปล่า จะมีสักกี่คนที่รู้ได้



การบูชาเครื่องรางของขลังนั้นก็นับว่าเป็นสิ่งดีนะ ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นกำลังใจ เป็นที่พึ่งทางใจ แต่..จะให้ดียิ่งกว่า ถ้าเครื่องรางของขลังนั้นมาจากการปลุกเสกแบบคุณไสยฯขาว จะได้ปลอดภัยกับตัวเรา แต่ก็มีหลายท่านค่ะ ที่เขาชอบและสนใจกับเครื่องรางของขลังที่เป็นคุณไสยฯผี คุณไสยฯคน เป็นการจับผีที่ตายโหงมาอยู่ในเครื่องรางนั้นเพื่อให้ตอบสนองตามกิเลสของผู้ที่ครอบครองเครื่องรางฯ นี้ ไม่ว่าจะเพื่อเสน่ห์ เพื่อเรียกทรัพย์ เรียกสามี เรียกหญิง สารพัดที่จะจัดสร้างเครื่องรางฯ เพื่อสนองกิเลสประเภทนี้กัน



แต่คุณผู้ใช้จะรู้ไหมว่าในเครื่องรางของผีชิ้นนั้น นอกจากผีจะทำให้คุณสมดั่งปรารถนา ได้กิเลสทุกอย่างอย่างที่ท่านต้องการแล้ว พวกผีเหล่านั้นก็เกาะกินกายหยาบของคุณด้วย หนำซ้ำคอยดักผลบุญที่เกิดจากการทำบุญของคุณไปอีก ทำบุญไปเถอะไม่มีสะสมหรอกโดนผีมันขโมยไปหมด



และชีวิตหลังความตายแทนที่จะได้ไปเสวยบุญที่ทำมาอยู่บนสวรรค์ กลับไม่ได้ไปล่ะ ต้องโดนหมอผีหรือคนที่ปลุกเสกเครื่องรางของผีชิ้นนั้นแหละสะกดวิญญาณให้ท่านไปเป็นผีอยู่ในเครื่องรางฯ ชิ้นอื่นๆ ต่อไป
ก่อนที่คุณจะไปรับเครื่องรางของผีมาครอบครองนั้น โปรดพิจารณาให้ดี ว่ามันคุ้มแล้วหรือที่ต้องแลกกับอะไรบ้างเพื่อให้ตอบสนองกิเลสของท่านเท่านั้น

อยากเตือนผู้ครอบครองเครื่องรางของผีอยู่ได้รู้และยังไม่สายหากท่านจะเปลี่ยนใจไม่ครอบครองเครื่องรางของผีนั้นอีกต่อไป เพียงท่านนำไปลอยแม่น้ำซะให้หมด ก่อนหย่อนลงไปในแม่น้ำกล่าวว่า “ต่อแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะนับถือและมอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธเจ้าเท่านั้น จะไม่นับถือสิ่งอื่นใดอีกต่อไป สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ทำกับท่านไว้ ขอขมาและขออโหสิกรรมด้วยเถิด อยู่ใครอยู่มันอย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย” แล้วก็หย่อนเครื่องรางนั้นลงแม่น้ำไป (ให้เป็นน้ำไหล น้ำนิ่งไม่ได้) ห้ามหันไปมองอีกเด็ดขาด และภายใน 7 วัน ห้ามผ่านแม่น้ำนั้นด้วยค่ะ
และไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ให้สม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ท่านก็หลุดจากการครอบงำของผีที่อยู่ในเครื่องรางของผีนั้นค่ะ



เกริ่นนำเรื่องมาซะยาวเลย เพราะทุกวันนี้นอกจากข้าพเจ้าจะดูดวง เปิดกรรมแล้ว ยังต้องมานั่งแก้คุณไสยฯ คุณผีต่างๆ ที่มากับเครื่องรางของขลังทั้งหลายที่ไปบูชากันมา จากเจ้าแม่นั้น จากเจ้าพ่อนี้ จากสำนักร่างทรงต่างๆ กันสารพัด ตอนเขาให้คุณก็มีความสุขกันเปรมแต่พอตอนเขาทวงหรือขอแลกกลับบ้างล่ะ วิ่งหาที่ช่วยแก้กันใหญ่ ตอนทำละไม่รู้จักคิดกันแล้วมานั่งกลุ้มตอนโดนเอาคืนกันล่ะ บอกไม่รู้บ้างล่ะ บอกไม่ได้ตั้งใจบ้างล่ะ เฮ้อ..คนหนอคนเรา เพราะความอยากตัวเดียว



ขอยกเรื่องของท่านหนึ่งเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับท่านอื่นๆ เกี่ยวกับเครื่องรางของผีนี้ ให้ได้เห็นกันว่าเวลาโดนผีในเครื่องรางมันเล่นงานจะเป็นอย่างไร



วันหนึ่งพี่นาย(นามสมมุติ) กับ พี่หญิง(นามสมมุติ) มารับข้าพเจ้ากับอาจารย์จากบ้านญาติธรรมท่านหนึ่ง และจะไปส่งข้าพเจ้ากับอาจารย์กลับบ้าน



เมื่อขึ้นรถและทักทายพี่ทั้ง 2แล้ว ข้าพเจ้าก็คุยกับอาจารย์เกี่ยวกับเครื่องรางของขลังของเจ้าของบ้านญาติธรรมท่านนั้นที่เพิ่งไปเปิดกรรมมาว่าเป็นของดี ของเก่า มีพลังมาก ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น พี่หญิง นั่งด้านหลังฝั่งคนขับ ก็หยิบเครื่องรางของขลังของพี่เขาขึ้นมาบ้างและส่งให้ข้าพเจ้าซึ่งอยู่ข้างๆพี่เขาพร้อมกับเอ่ยว่า
พี่หญิง :  ดูให้พี่บ้างซิ ของพี่เป็นอย่างไรบ้าง มีพลังอะไรไหม



ข้าพเจ้าก็รับเครื่องรางฯชิ้นนั้นมาและทำการขอชมบารมี ตอนที่รับเครื่องรางฯชิ้นนี้มารู้สึกร้อนวาบและยิ่งถือนานก็ยิ่งร้อนมากขึ้น ขณะที่กำหนดจิตดูเครื่องรางฯนั้นก็รู้สึกหนักๆหัว เหมือนมีอะไรวางอยู่บนหัวเรางั้นแหละ เลยเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบน พอดีว่าเป็นรถเปิดหลังคาครึ่งหนึ่งตรงผู้นั่งด้านหน้า ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นตรงหลังคาที่เปิดอยู่นั้น ทำให้ข้าพเจ้าถึงกับช็อกไปครู่หนึ่ง
เป็นร่างผู้ชายตัวดำๆ ผอมๆ ผมมีไม่เกิน 10เส้นหน้าซูบหนังติดกระดูก ตาโต ดุดันจ้องมองมาทางข้าพเจ้า เกาะอยู่บนหลังคารถที่เปิดครึ่งหนึ่งอยู่ คือ 2มือจับ2มุมของหลังคาด้านหน้ารถที่เปิดอยู่ เท้า 1 ข้างเหยียดไปจับหลังคาด้านหลัง เท้าอีก 1ข้างเหยียบอยู่บนหัวข้าพเจ้า
เมื่อตลึงกับร่างชายดังกล่าวสักพักก็ยื่นเครื่องรางฯชิ้นนั้นให้อาจารย์ซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าข้าพเจ้า



เมื่ออาจารย์รับเครื่องรางฯชิ้นนั้นไปแล้ว อาจารย์ก็บอกว่า
อาจารย์ :  อือ..มันร้อนนะ เรารู้สึกไหมนุ้ย
ข้าพเจ้า :  คะ ค่ะ รู้สึกค่ะ (ตอบไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ นิดหน่อย)



อาจารย์ก็พิจารณาเครื่องรางฯ ชิ้นนั้นต่อ และพี่นาย (คนขับ) ก็หาเครื่องรางฯ ในกระเป๋าของพี่เขาอยากให้อาจารย์ได้ตรวจดูบ้างล่ะ ข้าพเจ้าเห็นท่าไม่ดีแน่เลยบอกไปว่า
ข้าพเจ้า :  เออ..ไว้ถึงบ้านนุ้ยก่อนดีไหมค่ะ แล้วเราค่อยตรวจกันอีกทีเนอะ
พี่นาย :  ตรวจตอนนี้แหละ เดี๋ยวพี่รีบกลับเลยน่ะไม่มีเวลาขึ้นไปบนบ้านเราหรอก



แล้วพี่เขาก็ยื่นเครื่องรางฯของพี่เขาให้อาจารย์ดู ขณะนั้นอาจารย์กำลังตรวจกับชิ้นแรกอยู่ และอีกมือก็รับอีกชิ้นหนึ่งจากพี่นายมา ข้าพเจ้าพยายามทักท่วงห้าม สารพัด แต่ไม่มีใครเชื่อหรือฟังข้าพเจ้าเลย เห็นท่าไม่ดีแน่เลยร้องบอกอาจารย์ไปว่า
ข้าพเจ้า :  อาจารย์เงยหน้ามองบนหลังคาซิ เห็นอะไรไหม



พอสิ้นเสียงของข้าพเจ้าทุกคนก็เงยหน้ามองขึ้นข้างบนกัน พี่หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆข้าพเจ้าก็กรีดร้องออกมา กรี๊ดดดดดดดด อย่างสุดเสียง



ข้าพเจ้านึกในใจว่า “งานเข้าแล้วตรู” ข้าพเจ้าหันไปมองพี่หญิง เขาได้มีท่าทางเปลี่ยนไปทันที จากดวงตาที่หวานใส กลับบึ่งตาโต ตาแข็งใส่ข้าพเจ้า หน้าดุ เหมือนโกรธจัด กัดฟันแน่น มือกำแน่นทั้ง 2ข้าง ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้น รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงสะกิดบอกอาจารย์ให้หันมาดูพี่หญิง อาจารย์ก็หันมาดูและทำสัญญาณว่าไม่บอกให้พี่นายรู้ ไว้ให้ถึงที่ก่อนค่อยบอก



พี่นายได้ยินเสียงเพื่อนร้องมาอย่างตกใจ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนก็ยื่นมือมาด้านหลังและจับขาถามพี่หญิงว่าเป็นอะไร  พี่หญิงไม่ตอบอะไร พี่นายก็พยายามจับมือพี่หญิง และคอยถามไถ่ตลอดระยะทางแต่พี่หญิงไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น ไม่พูดไม่จาอะไรเลย มีแต่ทำตาแข็ง ดุ ใส่ข้าพเจ้าและอาจารย์เท่านั้น อาการเหมือนคนโดนผีเข้านั้นเอง



วันนี้รู้สึกว่าทางกลับบ้านมันยาวนานเหลือเกิน ข้าพเจ้านั่งรถไปก็ระแวงพี่หญิงที่นั่งข้างๆไปด้วย “เผลอแล้วจะกระโดดกันคอเราไหมเนี้ย” นั่งนึกไปตลอดทาง ไม่กล้าเผลอเลยนั่งเหงื่อแตกพรากๆ ทั้งๆที่เปิดหน้าต่างหมดทั้ง 4 บาน เหอะๆ

เมื่อมาถึงบ้านแล้วก็พยายามชวนพี่นายขึ้นไปบนบ้านข้าพเจ้า ชวนทานข้าวด้วยกัน พี่นายก็ปฏิเสธ ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ คือชวนสารพัดว่างั้นเพื่อให้พี่นายขึ้นไปบนบ้านก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่หญิงว่างั้น แต่ชวนอย่างไรก็ตามพี่นายก็ยื่นยันว่าไม่ขึ้นไป
แล้วพี่นายก็หันไปถามพี่หญิงว่าจะขึ้นไปข้างบนไหม เมื่อพี่นายหันมาเห็นพี่หญิงในอาการที่เปลี่ยนไป เหมือนคนโดนผีเข้านั้น พี่นายก็รับคำชวนทันที



พี่นาย : เออ..ปะ ปะ ไปก็ไป (ตอบด้วยน้ำเสียงที่สั้นๆ)
ข้าพเจ้า :  ค่ะ พี่นายหาที่จอดรถก่อนนะ นุ้ยกับอาจารย์รอตรงนี้



ขณะที่พี่นายไปหาที่จอดรถอยู่นั้น ข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับพี่หญิงดี
ข้าพเจ้า :  เอาไงดีๆ อาจารย์
อาจารย์ :  ไม่เอาไงหรอก ก็เอาผีออกจากพี่หญิงซะ
ข้าพเจ้า :  โห..อาจารย์พูดเหมือนง่ายๆเลยเนอะ ผีนะ ไม่ใช่เสื้อผ้าได้เอาออกจากพี่หญิงง่ายๆ
อาจารย์ :  เอ้า..แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ จะให้มันสิงพี่หญิงอยู่อย่างนั้นรึ
ข้าพเจ้า :  เปล่า ให้มันออกแน่ๆค่ะ ว่าแต่จะทำแบบไหนให้เอาออกหรอ
อาจารย์ : ไม่รู้เหมือนกันต้องรอดูสถานการณ์ก่อน สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้พวกนี้ มันเป็นอสูรสิงมากับเครื่องรางฯชิ้นนั้นแหละ
ข้าพเจ้า : ว่าแล้วเชียว ตอนพี่เขายื่นมาให้นะร้อนมากๆเลย แถมโดนมันเอาเท้าเหยียบหัวอีกแน่ะ ก็พยายามบอกกันดีๆแล้ว อยากไม่ฟังกันเองเป็นไงล่ะ งานเข้าเลย
อาจารย์ :  ก็ดีไง เราได้เรียนรู้อีกวิชาเลย
ข้าพเจ้า :  วิชาอะไร
อาจารย์ :  ขับไล่ผีออกจากร่างไง
ข้าพเจ้า : โห..ไม่มีการสอนทฤษฏีใดๆเลยนะอาจารย์ มาถึงให้ปฏิบัติเลยลงสนามจริงๆเลยอะ มันหยองนะ วิชาคาถาอาคมอะไรก็ไม่มีป้องกันตัวเลย จะเอาอะไรไปไล่มันได้ล่ะค่ะ
อาจารย์ : คาถาหรอ "ไม่กลัว" ท่องไว้ๆ  เรียนทฤษฏีไปก็เท่านั้นแหละสู้ปฏิบัติเลยไม่ได้หรอก 555+



ขณะที่อาจารย์กำลังหัวเราะ(เยาะ)ข้าพเจ้าอยู่กับการที่สยองกับผอ สระ อี อยู่นั้น พี่นายก็ร้องเรียกพวกเราใหญ่เลย
พี่นาย :  อาจารย์, นุ้ย มาช่วยพี่หน่อย เร็ว



ข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็เดินไปหาที่รถพี่เขา เห็นพี่นายกำลังพยายามอุ้มพี่หญิงออกมาจากรถ ซึ่งอุ้มไม่ได้ ทั้งฉุดทั้งกระชากก็แล้วไม่ขยับอะไรเลย กับหันหน้ามาจ้องหน้าพวกเราอีก



ข้าพเจ้าเห็นท่าไม่ดีแล้วขืนปล่อยไว้แบบนี้มีหวังเรื่องยาวแน่ๆ ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจ(โดยพละการ) เอาผ้ายันต์ผืนใหญ่ ออกมาอาราธนาครูบาอาจารย์แล้วก็โปะไปที่หน้าพี่หญิง พี่หญิงแน่นิ่งไป คอทิ่มลง ตัวอ่อนปวกเปียกลงไปเลย อาจารย์กับพี่นายก็พยายามอุ้มพี่หญิงออกมาจากรถ และอาจารย์ก็แบกพี่เขาขึ้นบันไดอีก 3 ชั้นเพื่อขึ้นไปบนห้องของข้าพเจ้า
ระหว่างทางที่อุ้มขึ้นบันไดนั้น ก็มีบางทีที่พี่หญิงฝืนขึ้นมาและทำท่าจะบีบคออาจารย์ให้ได้ ข้าพเจ้าก็เอาผ้ายันต์ผืนนั้นโปะไปที่บนหัวอีก คราวนี้ไม่เอาออกเลย จนถึงบนห้องข้าพเจ้า



เมื่อถึงห้องข้าพเจ้าแล้วก็จัดการเอาพี่หญิงไปที่ห้องรับแขก จุดธูปเทียนบูชาครูบาอาจารย์ และบอกให้ลูกและแม่ของข้าพเจ้ารวมทั้งแฟนแม่ด้วยให้ไปอยู่ที่ห้องนอนกัน ห้ามออกมาเด็ดขาด



แล้วข้าพเจ้าก็เข้าไปที่ห้องรับแขกต่อ เห็นพี่หญิงในท่าทางขึงขังขึ้นมาอีกแล้วเพราะผ้ายันต์ได้หล่นออกมาจากหัวพี่เขา ไม่รู้ว่าหล่นตอนไหน ข้าพเจ้าจะเอาไปคลุมพี่หญิงอีก แต่อาจารย์ห้ามไว้
อาจารย์ :อย่าเลยคลุมไปก็ช่วยได้แค่ชั่วคราวพี่เขาคงไม่สามารถอยู่กับผ้ายันต์บนหัวไปตลอดชีวิตได้หรอกนะ



ข้าพเจ้าจึงพับผ้ายันต์นั้นเสียและมาเหน็บไว้ที่บ่าข้าพเจ้าเอง (ปลอดภัยไว้ก่อน เหอะๆ)และข้าพเจ้าก็คิดๆ ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งเป็นเสียงผู้หญิงบอกกับข้าพเจ้าว่า

"ใช้หลักเมตตานะลูก" กลืนน้ำลายอึกใหญ่ๆ หนึ่งครั้ง และถอนหายใจเฮือกใหญ่ 1ครั้ง เป็นการเตรียมความพร้อมเผชิญหน้ากับผี แล้วก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆ พี่หญิง (โอ้..ตอนนั้นทั้งกลัวทั้งสยองแต่ไม่รู้ว่าเข้าไปนั่งข้างๆได้อย่างไร) อาจารย์บอกให้ข้าพเจ้าเกลี่ยกล่อมพี่หญิงให้เขาทำใจแข็งสู้กับมันอย่ากลัว ส่วนอาจารย์ก็ชวนผี พูดคุยสารพัดเหมือนกับว่านั่งคุยกับคนทั่วไปงั้นแหละ เหอะๆ



ข้าพเจ้าเอามือพี่หญิงมากุมไว้ ในขณะเดียวกันก็พยายามสอดผ้ายันต์ท่านท้าวเวสสุวรรณเข้าไปในกำมือของพี่เขา จับนวดแขนขาให้ ทำสารพัดให้พี่เขารู้สึกผ่อนคลายลง เมื่อเกลี่ยกล่อมไปได้สักพักใหญ่ๆ อาจารย์ก็บอกให้ข้าพเจ้าว่า
อาจารย์ : ปลุกกำลังใจพี่หญิงเขาเร็ว ให้เขาเข็มแข็งขึ้น ให้เขาสู้กับผีไม่ยอมให้มันสิงได้
ข้าพเจ้า : จะปลุกอย่างไรล่ะอาจารย์
อาจารย์ :  ก็คิดซิ พูดอย่างไรให้เขามีกำลังที่จะอยู่ต่อ ที่จะสู้



ข้าพเจ้าก็คิดๆๆๆๆ ทำอย่างไรดี พูดอย่างไรดี  ก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่หญิงเขามีลูกสาวนี่ ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูก เท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าก็พูดปลุกกำลังใจพี่หญิงเขาทันที
ข้าพเจ้า  : พี่หญิงสู้ๆ นะ พยายามทำใจแข็งไว้ อย่าไปกลัวมัน พี่หญิง ลูกพี่รอพี่กลับบ้านอยู่นะ  พี่เป็นอะไรไปลูกพี่จะทำอย่างไร ทำใจแข็งๆนะพี่ อย่าไปกลัว มันจะครอบงำพี่ต่อไม่ได้หากพี่ใจแข็งสู้มันนะ ถ้าพี่กลัวมันก็จะสิงพี่อยู่อย่างนี้ตลอดไปนะ พี่นึกไว้ๆ ว่าลูกรอพี่อยู่นะ ทำเพื่อลูกนะพี่



ข้าพเจ้าก็พูดๆๆไปสารพัด พี่หญิงก็มีอาการเป็นตัวพี่เขาเองสลับกับเป็นอีกคนหนึ่งไปบ้าง สลับกันอยู่อย่างนี้ สักพัก พี่หญิงก็กลั่นใจ หายใจเฮือกออกมาชุดใหญ่ แล้วพี่เขาก็หัวทิ่มลงเก้าอี้เลยตัวอ่อนลงไปทันที ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นรีบเอาผ้ายันต์ที่ข้าพเจ้าเหน็บไว้ที่บ่ากางออกมาแล้วคลุมไปที่ตัวพี่เขาทันที และเราก็เขย่าปลุกเรียกพี่เขาอยู่พักใหญ่ พี่เขาก็รู้สึกตัวขึ้นมา ด้วยอาการสลึมสลือมึนงง ตาลอยๆ มองไปรอบๆตัวแล้วก็ถามพวกเราว่า “เกิดอะไรขึ้นกับพี่”
พี่นาย :  ก็เธอโดนผีเข้าน่ะซิ

พี่หญิงหันมามองหน้าข้าพเจ้ากับอาจารย์ เหมือนจะถามว่าจริงหรอ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปากถามข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็พยักหน้า
พี่หญิงร้องไห้โฮขึ้นมาเลย ด้วยความกลัว และถามเรื่องราวความเป็นมาว่ามันเกิดได้อย่างไร พี่นายก็เล่าให้ฟังทั้งหมด แล้วพี่นายก็ถามขึ้นมาว่า
พี่นาย :  เออ แล้วผีมันมาจากไหนหรอ (เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครบอกพี่นาย)



ข้าพเจ้ากับอาจารย์มองหน้ากัน และอาจาย์ก็พยักหน้าเหมือนจะบอกว่าให้บอกพี่เขาไป ข้าพเจ้าก็หยิบเครื่องรางฯ (เจ้าตัวต้นเหตุ) นั้นออกมา และบอกว่าผีมันอยู่ในนี้
พี่นายและพี่หญิงหน้าตาตื่นตระหนกกัน และร้องมาพร้อมกันเลยว่า “เป็นไปได้อย่างไร”
พี่หญิง: เครื่องรางฯชิ้นนี้ ครูพี่เป็นคนให้มาฝากให้เพื่อนพี่เอามาให้พี่โดยเฉพาะเลยนะจากเมืองไทย จะเป็นไปได้อย่างไร
ข้าพเจ้า : แล้วพี่รู้ไหมว่าครูพี่น่ะ เขาปลุกเสกแบบไหนกับเครื่องรางฯชิ้นนี้
พี่หญิง : ก็ปลุกเสกทั่วไปนั้นแหละมั่ง
ข้าพเจ้า : มั่ง ?? (เหมือนถามย้อนพี่เขาไปอีกที)
พี่หญิง : พี่ก็ไม่รู้ซิ แต่ครูพี่ท่านนี้ นับถือกันมานานแล้วนะ อยากได้อะไรไปขอท่านนะได้ทุกอย่างเลย พี่และเพื่อนๆพี่นับถือท่านมากเลย ท่านมีลูกศิษย์เต็มบ้านเต็มเมืองแถบอีสานเลยนะ



ข้าพเจ้ากับอาจารย์มองหน้ากันอีกครั้งและส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจพร้อมกันเลย และอาจารย์ก็เอ่ยถามพี่หญิงไปว่า
อาจารย์ : งั้นก็แสดงว่าไม่เชื่องั้นซิ ว่าผีมันออกมาจากเครื่องรางฯชิ้นนี้
พี่หญิง :เออ..ไม่ใช่อย่างงั้นนะ แต่แปลกใจน่ะว่าผีจะเข้าไปอยู่ได้อย่างไร เมื่อของนี้เป็นองค์พระนารายณ์ผีจะเข้าไปอยู่ได้หรอ
อาจารย์ : รูปภายนอกน่ะ เป็นองค์พระนารายณ์ก็จริงอยู่ แต่ภายในน่ะไม่ใช่ท่าน เป็นอสูรกายตัวหนึ่งที่โดนสะกดวิญญาณไว้ในเครื่องรางชิ้นนี้ เพื่อคอยให้เจ้าได้ทุกอย่างสมดังกิเลสที่อยาก และเมื่อมันให้เจ้าได้อย่างที่เจ้าต้องการแล้วมันก็จะเอาร่างเจ้านั้นแหละเป็นสิ่งตอบแทน เพื่อที่มันจะได้มีกายหยาบอยู่ และดึงเอาวิญญาณเจ้าออกไปจากร่างเจ้าเอง



เมื่ออาจารย์พูดจบพี่หญิงหน้าซีด ตาค้าง แทบจะเป็นลม พี่นายรีบเข้าไปประคอง กุมมือพี่หญิงไว้และข้าพเจ้าหายาดมมาให้
พี่หญิง : พี่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ว่าเครื่องรางของขลังชิ้นนี้จะเป็นเครื่องรางของผี ไปได้
พี่นาย : ถึงว่าพักนี้เธอดูเปลี่ยนไป บางทีเธอดูดุมาก โดยเฉพาะสายตาเธอนะ หน้ากลัวมากจนบางครั้งเราไม่กล้ามองหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยคิดว่านั้นไม่ใช่เธอ
พี่หญิง : เพื่อนๆที่ทำงานก็บอกฉันเหมือนกัน ว่าฉันชอบทำตาดุใส่พวกเขากันอย่างกับจะเลือดกินเนื้อกันนั้นแหละ ฉันก็ว่า ฉันไม่ได้ทำตาดุ ใส่น่ะ ไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนเลยด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ยังยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ฉันชอบทำตาดุใส่พวกเขาจริงๆ และบ่อยด้วย
โอ้ย...นี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี้ย ของที่เคยเคารพบูชามาตั้งนาน กับกลายเป็นผีซะงั้น กลายเป็นที่ฉันกราบไหว้นั้นคือผีงั้นหรอ ฮื่อๆๆๆๆๆ



พี่หญิงนั่งร้องไห้เป็นพักกว่าพวกเราจะปลอบให้พี่เราสงบสติลงได้ และพี่ทั้ง 2 ก็ขอลากลับบ้านกันโดยทิ้งเครื่องรางของผี ไว้กับพวกเรา (ซะงั้น)
ข้าพเจ้า : อาจารย์แล้วเราจะทำอย่างไรกับมันล่ะ
อาจารย์ : พรุ่งนี้เช้าก็เอาไปทิ้งแม่น้ำซะ หรือไม่ก็เอาไปไว้ที่วัด
ข้าพเจ้า : แล้วกว่าจะพรุ่งนี้เช้ามันไม่มาหาเราอีกหรอ
อาจารย์ : มันมานุ้ยก็นั่งคุยกับมันล่ะกันนะ อาจารย์ไปอาบน้ำเข้านอนก่อนล่ะไม่ไหวแล้วเหนื่อย
ข้าพเจ้า : เอ้า..ไงทิ้งกันซะงั้นอะ ไม่เอาอะ ไม่มานั่งคุยกับผีเหมือนอาจารย์หรอกนะ ไปนอนด้วย อึ๋ย..ย







แล้วเครื่องรางของขลังที่ท่านคล้องอยู่นั้น เป็นเครื่องรางของผี ด้วยหรือเปล่าเอ่ย..ย





โลกทิพย์ในวันงานบวงสรวง ณ กรุงเบอลิน

หลังจากลาสึกมาได้ 1 วัน วันรุ่งขึ้นจัดงานพิธีบวงสรวงท่านท้าวมหาราชทั้ง 4 ที่ร้านไทยแห่งหนึ่งในกรุงเบอลิน เยอรมัน เป็นร้านที่คุณแม่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ด้วย คุณแม่กับเจ้าของร้านรักกันมากเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอทำพิธีบวงสรวงที่ร้านแห่งนี้ค่ะ


ในวันงานทุกคนต่างช่วยกันอย่างเต็มที่ ทั้งคนในร้านคนนอกร้านต่างร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานนี้ขึ้นมาค่ะ ขอขอบพระคุณทุกท่านไว้ ณ ที่นี่ด้วยค่ะ โดยเฉพาะท่านเจ้าของร้านผู้ใจดีให้ใช้สถานที่ค่ะ


วันงานนอกจากจะมีเครื่องคาวของหวานผลไม้ต่างๆแล้ว ที่ขาดไม่ได้เลยก็บายศรีปากชาม และบายศรีหลักตรงกลางค่ะ บายศรีปากชามมีป้าผู้ใจดีอาสาจัดทำให้ทั้ง 6 พานเลย แต่บายศรีหลักนี้ซิ อาจารย์มอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ ( โอ..โน..)


อาจารย์ : บายศรีหลัก น่ะ เราเป็นคนทำนะ
ข้าพเจ้า : เหอะๆ อาจารย์มอบหมายผิดคนแล้วค่ะ เกิดมาไม่เคยทำบายศรีสักครั้ง จะไปทำได้อย่างไรค่ะ
อาจารย์ : เอาน่า ลงมือทำก่อนแล้วจะรู้เอง
ข้าพเจ้า : ให้คนอื่นทำดีกว่า ป้าที่เขาทำบายศรีปากชามนั้นไง ป้าเขาเก่งออก
อาจารย์ : ไม่ได้เจ้าต้องเป็นคนทำ
ข้าพเจ้า : โห..อาจารย์ ออกมาไม่สวยไม่รู้ด้วยนะ
อาจารย์ : เออ สวยไม่สวยไม่รู้ รู้ว่าเจ้าต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้ล่ะกัน


หลักจากที่ต่อรองกับอาจารย์แล้วต่อรองอีกให้คนอื่นทำบายศรีหลักเถอะ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทำบายศรีกับเขาเลย ไม่มีหัวทางนี้เลยด้วยซ้ำ ก็ไม่เป็นผลเพราะอาจารย์ยืนยันเสียงแข็งว่าข้าพเจ้าต้องเป็นคนทำ (ทำก็ทำ ฮื่อๆๆ)


เมื่อถึงเวลาลงมือทำ ก็หมุนพานแล้วหมุนพานอีก จะเริ่มตรงไหนอย่างไงก่อนดีและไม่มีแบบอะไรทั้งสิ้นจัดแบบสดๆเลย ขณะที่กำลังคิดๆๆๆ อยู่นั้น อาจารย์ก็บอกว่า
อาจารย์ : ไม่จุดธูป16 ดอกซะ ขอเสด็จท่านย่า และขออัญเชิญนางฟ้ามาช่วยเจ้าจัดบายศรีซะซิ


พออาจารย์บอกดังนั้น ก็รีบไปหาธูปมาจุดและไหว้ขอนางฟ้ามาช่วยในการจัดบายศรีหลักนี้ด้วยเทอญ พอไหว้ครูบาอาจารย์ขอนางฟ้าเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาที่จัดบายศรีต่อ ก็มาหยิบดอกนู้นวางดอกนี้ คิดๆๆแบบอยู่นั้น ก็เกิดขนลุกทั้งตัวเลยค่ะ โดยเฉพาะขนหัวลุกตั้งเลยนานด้วย เหมือนมีสื่ออะไรสักอย่าง ประมาณสัก 2-3 นาทีได้ แล้วไม่รู้ว่าไอเดีย วิธีการจัดบายศรีดอกไม้นั้นมาจากไหน วางพานซ้อน 3 ชั้นเอาข้าวสารมาใส่ หาธูป เทียนมาปักบนสุด หยิบดอกไม้มาตัดๆๆปักๆๆ อย่างกะผู้ชำนาญการจัดบายศรีอย่างนั้นแหละ พออาจารย์เห็นว่าเริ่มได้เรื่องล่ะ ก็เรียกพี่ๆ มาช่วยกันปักดอกไม้ โดยข้าพเจ้าเป็นคนบอกว่า ดอกนั้นตรงนี้ ดอกนี้ตรงนั้น ระหว่างการจัดบายศรีอยู่นั้นเกิดอะไรขึ้นกับเรา ท่านใดหนอมาช่วยอยากรู้จังเลยกำหนดจิตดู เห็นนางฟ้าอยู่ 2 ท่านคอยบอกพี่คนนั้นให้ปักตรงนั้นนะ ตรงนี้นะ โดยการดลใจเรา และมีท่านย่ายื่นอยู่ข้างๆเรา โอ้..แม่เจ้า ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าท่านจะเสด็จลงมาช่วยเราจริงๆหรือนี้ และแล้วบายศรีดอกไม้ก็ออกมาอย่างสวยงาม ขณะที่กำลังปลาบปลื้มกับบายศรีดอกไม้อยู่นั้น เสียงอาจารย์ก็ดังขึ้น


อาจารย์ : เอ้า..มัวแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นั้นแหละ ยกมาวางที่โต๊ะได้แล้ว
ข้าพเจ้า : แหม..อาจารย์ก็มันปลื้มนี่น่า เกิดมาไม่เคยทำกับเขาสักที ทำครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี้ย
อาจารย์ : เหอะๆ ใช่เราทำรึ
ข้าพเจ้า : แง่ว... อาจารย์ก็ ยิ่งปลื้มมากขึ้นไปอีกที่ท่านเมตตาลงมาโปรดช่วยแนะช่วยสอน
อาจารย์รู้ไหมว่าข้าพเจ้าเห็น
อาจารย์ : เออๆ รู้แล้วๆ เอายกมาได้แล้วมัวแต่ลีลาเดี๋ยวไม่ทันเวลา
ข้าพเจ้า : เจ้าค่ะ พี่ช่วยยกหน่อยค่ะ คงหนักพอดูน่ะค่ะ
อาจารย์ : ไม่ได้ๆ เราน่ะยกมาเอง ให้พี่เขาช่วยคอยเดิมตามข้างเรามาล่ะกัน
ข้าพเจ้า : โห อาจารย์มันหนักนะ ขืนยกคนเดียวมีหวังคว่ำแน่ๆ
อาจารย์ : ไม่คว่ำหรอกน่า ยกมาเถอะ
ข้าพเจ้า : เอ้ายกคนเดียวก็คนเดียว ทำไงได้อาจารย์สั่งนี้ เฮ้อ..จะรอดไหมเนี้ยตรู(คิดในใจ)


แล้วก็ยกบายศรีขึ้น ต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก ว่าเบากว่าที่คิดอีกแหะ ทั้งๆ ที่ใส่ข้าวสารรองในพานนี้ไปหลายกิโลอยู่นะ ทำไมเบาหวิวอย่างนี้ เลยกำหนดจิตมองดูเลยถึงบางอ้อ
ที่บายศรีเบาเพราะเหล่านางฟ้าท่านมาช่วยยกกันไม่ต่ำกว่า 20 ท่านได้ขอให้ได้จับท่านละนิดละหน่อยก็ยังดี มาจับบายศรีกันทั่วสารทิศของบายศรีเลยค่ะ ซ้ายขวา บนล่าง หน้าหลัง
แบบนี้นี่เอง อาจารย์ถึงบอกให้เรายกคนเดียวจะได้มีพื้นที่ให้เหล่านางฟ้าท่านได้ถือบายศรีกันด้วย


เมื่อข้าพเจ้านำบายศรีไปวางไว้กลางโต๊ะเรียบร้อย จัดข้าวของบนโต๊ะบวงสรวงเสร็จสรรพก็เริ่มพิธีการกัน บอกตรงๆว่าตอนนี้ ตื่นเต้นมากกกก ไม่เคยร่วมพิธีการแบบนี้มาก่อนเลย ยิ่งก่อนหน้านี้อาจารย์บอกให้จับตามองโลกทิพย์ดีๆ ว่าวันนี้มีท่านใดเสด็จลงมาบ้างด้วย เพราะจะไม่ได้มีโอกาสได้เห็นบ่อยๆ ที่ท่านลงมาเมตตาพร้อมๆกันแบบเยอะๆขนาดวันงานนี้


เมื่ออาจารย์เริ่มสวดมนต์ ข้าพเจ้าก็กำหนดจิตขอดูโลกทิพย์นั้น ก็มีนกตัวหนึ่ง ตัวใหญ่มากเหมือนนกเหยี่ยวเลยค่ะ มาเกาะอยู่บนเสาไฟฟ้าตรงข้ามกับโต๊ะที่ทำพิธี และส่งเสียงร้องเสียงดังมาก เสียงออกแหลมๆ สักพักก็มีนกบินมากันเต็มไปหมด โอ้..ไม่ธรรมดาแน่ๆ ก็เลยกำหนดจิตขอดูหน่อยว่านกตัวนี้คือใคร ก็ได้เห็นเป็นท่านพญาครุฑองค์ใหญ่มากๆ และเหล่าท่านเทวดานางฟ้า ก็ลอยลงมากันเต็มไปหมดทั่วบริเวณงานเลยค่ะ

สักพักก็มีแสงสว่างจ้ามากๆ แสบตาเหมือนเรามองแสงพระอาทิตย์เลยเจ็บตามาก ลอยลงมา 1 ดวง 2 ดวง 3 ดวง และก็ลอยลงมาเยอะไปหมดเลยเหมือนฝนดาวตกเลยค่ะ ข้าพเจ้าพยายามมองทะลุผ่านแสงที่จ้านั้น เพื่อขอชมบารมี ที่ท่านเสด็จลงมานั้น ขณะที่กำลังเพ่งมองอยู่นั้น ก็ตกใจนิดหน่อย เพราะได้เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งท่านยังมีชีวิตอยู่และเป็นพระสงฆ์ที่ทั้งคณะเรานับถือท่านเป็นอย่างมากค่ะ ท่านได้เมตตามาร่วมให้พรด้วย และหลังจากนั้นก็เห็นเทพ พรหม เทวดา นางฟ้า ต่างๆ และท่านท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นภาพที่ประทับมากในวันนั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นท่านชัดเจนและใกล้ขนาดนี้ได้เลย


เมื่อเสร็จพิธีกรรมแล้ว อาจารย์ก็ทำการดูดวง เปิดกรรมแนะวิธีแก้ไขกรรม ช่วยคนต่อเลยค่ะ

ข้าพเจ้าได้เข้าไปช่วยอาจาย์ เปิดกรรมด้วย ทีแรกคิดแค่ว่าเข้าไปช่วยถูไข่ ชำระล้างสิ่งไม่ดีออกให้เขา เพราะอย่างสุภาพสตรีจะมีบริเวณหน้าอกที่มันล่อแหลมนิดนึง แต่จำเป็นต้องถู ข้าพเจ้าก็อาสารับหน้าที่นี้ค่ะ แต่พอถูไปถูมา ก็เกิดภาพต่างๆ เหมือนตอนเปิดตาครั้งแรกเลย มีจอสี่เหลี่ยมมาก่อนแล้วก็มีภาพเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ว่าคนนี้เคยทำอะไรมา ตอนนี้กำลังประสบปัญหาอะไรอยู่ คนรอบข้างคิดกับเขาเช่นไร ออกมาเป็นฉากๆ ตามคำถามที่เขาถามมาอยากรู้เรื่องไหน คำตอบเรื่องนั้นก็มาปรากฏที่จอ ว่าอย่างนั้น ตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์อะไร คือใคร ต้องการสื่ออะไรต้องมาปะติดปะต่อเอาอีกที พอเห็นหลายๆคนเข้า ก็พอจะต่อเรื่องได้ดีขึ้นๆ ตามลำดับ

มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายขณะที่ทำการเปิดกรรมให้แต่ละราย บางรายเดินเข้ามาคนเดียวแต่ที่เราเห็นไม่ใช่คนเดียว บางรายมีใครนั่งขี่คอมาด้วย กว่าจะเจรจาต่อรองขออโหสิกรรมกันได้แต่ละรายก็หนักพอดูค่ะ  บางรายก็สามารถเปิดตาเปิดญานทัศนะได้เลยก็มี

เริ่มเปิดกรรมตั้งแต่เที่ยงวัน ถึง 4 ทุ่ม ไม่ได้เบรคเลย ไม่ได้แม้แต่ทานข้าวเช้ากันเลยล่ะ ข้าวกลางวันไม่ต้องพูดถึง ได้แต่ดื่มน้ำ แก้กระหายเท่านั้นเอง ได้ทานข้าวกันตอนเกือบจะ 5 ทุ่ม
แต่ก็แปลกขณะที่ทำพิธีไม่รู้สึกหิวหรือเหนื่อยเลย แต่พอเสร็จหมดแล้วเท่านั้นแหละแทบจะเป็นลม ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์เลย......






บวงสรวงท่านท้าวมหาราชทั้ง 4 และส่งกระทงราหูค่ะ

ผลงานบายศรีดอกไม้ตรงกลางที่ข้าพเจ้าสุดแสนภูมิใจ(เสนอ)ค่ะ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ผีเด็กขอตามมาอยู่ด้วย..

วันหนึ่ง เวลาประมาณ 22.00น. ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนั่งอ่านเวปธรรมะเวปหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งห้อยขา 2 ข้างบนเก้าอี้และคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่บนโต๊ะที่มีใต้โต๊ะแล้วขาข้าพเจ้าก็อยู่ใต้โต๊ะนั้น กำลังนั่งอ่านเพลินๆ อยู่นั้นได้เกิดรู้สึกแปลกๆที่ขาด้ายซ้าย ขนลุกเป็นพักๆ เหมือนโดนลูบขาจากล่างขึ้นมาข้างบน ข้าพเจ้าก้มไปดูใต้โต๊ะ ก็ไม่เห็นอะไร ก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่งอ่านต่อ



สักพักเอาอีกแล้วขนลุกเหมือนโดนลูบขาอีกแล้ว คราวนี้ข้าพเจ้ารีบก้มมองไปทันที โอ้คุณพระช่วย...สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นคือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุราวๆ 7ขวบได้ ตัวซีดๆนั่งอยู่ใต้โต๊ะกำลังกอดที่ขาซ้ายของข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าตกใจมากรีบยกขาขึ้นบนเก้าอี้แล้วเงยหน้าขึ้น ตั้งสติสักพักแล้วก้มลงไปมองที่ใต้โต๊ะอีกที เห็นแต่ความว่างเปล่า กับขาโต๊ะเท่านั้น
ข้าพเจ้า : เฮ้อ.. คงตาฟาดไปมั่ง ไม่มีอะไรสักหน่อยแค่ขาโต๊ะเอง หาน้ำดื่มสักแก้วดีกว่า



แล้วข้าพเจ้าก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะไปในห้องครัว ก่อนที่จะถึงห้องครัว หางตาข้าพเจ้าก็เห็นอะไรผิดปกติในห้องนอนซึ่งลูกชายข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่ ข้าพเจ้าจึงหันไปมองแบบเต็มๆตา



ข้าพเจ้าตกใจอีกครั้งกับสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นในห้องนอนนั้น เป็นเด็กผู้ชายคนเดิมที่เห็นเมื่อกี้ใต้โต๊ะ นั่งคลุกเข่าอยู่ปลายเท้าลูกชาย นั่งหันตัวไปทางลูกชาย แต่หันหน้ามามองข้าพเจ้าที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องนอน (ซึ่งเตียงนอนจะเป็นแนวขวางกับประตูห้อง เวลามองเข้าไปจะเห็นด้านข้างเตียง หัวที่นอนจะอยู่ทางด้านขวามือ ปลายเท้าจะทางด้านซ้ายมือของข้าพเจ้า)



มองมาด้วยสายตาที่เศร้าๆ แต่ตอนนั้น ความกลัวมันครอบงำ กลัวสุดขีด เพราะเห็นถึง 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน แถมสามีก็ไม่อยู่ ลูกชายก็หลับไปแล้วเหลือเราอยู่คนเดียว ยืนตาค้าง กลืนน้ำลายไปหลายอึก คิดไม่ออกบอกไม่ถูกจะทำอะไรอย่างไร อึ้งไปสักพัก...



เมื่อได้สติข้าพเจ้าก็พยายามเดินไปที่ห้องครัว ไปหาน้ำดื่ม (รู้สึกกระหายน้ำมากๆๆๆ) มือไม้สั่น แทบจะประคองแก้วน้ำไม่อยู่ พอดื่มน้ำแล้วพยายามรวบรวมความกล้าอีกครั้ง เพื่อกลับมาที่ห้องนอน เพราะลูกชายสุดที่รักเราอยู่ในนั้น "ไม่รู้ล่ะว่าจะเจออะไรอีกแต่ต้องเข้าไปช่วยลูกให้ได้"
หายใจเข้าออกลึกๆ หลายที่ ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พอรวบรวมความกล้าได้แล้ว ก็เดินกลับมาที่หน้าห้องนอนอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเด็กผู้ชายคนนั้นแล้ว



ข้าพเจ้ารีบวิ่งเข้าที่เตียงลูกชาย เข้าไปกอดลูกและดูปลายเท้าลูกว่าเกิดอะไรขึ้นไหม ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ลูกชายข้าพเจ้าก็นอนหลับสบายดี เหมือนโล่งอกแบบบอกไม่ถูก



แล้วข้าพเจ้าก็รวบรวมความกล้าอีกครั้ง เพื่อเอ่ยบอกผีเด็กคนนั้นว่า
ข้าพเจ้า : เราไม่รู้ว่าท่านคือใคร ท่านต้องการอะไรนะ เอาเป็นว่าถ้าท่านต้องการความช่วยเหลือจากเราให้มาบอกในฝันได้ไหม อย่ามาให้เห็นแบบจะๆอย่างนี้อีกเลยนะ เรากลัว
ถ้าท่านมาดีเราอนุญาตให้อยู่ด้วยได้ แต่ถ้าท่านเป็นมิฉาทิฐิเราไม่อนุญาตให้อยู่ที่บ้านเราได้นะ ออกไปซะอยู่ใครอยู่มันเถอะนะ



เมื่อพูดจบข้าพเจ้าก็ออกมาจากห้องนอนแล้วไปสวดมนต์ที่หน้าหิ้งพระ ไม่กล้านั่งกรรมฐานต่อกลัวผีเด็กนั้นจะโผล่มาอีก ปิดไฟที่ห้องรับแขกแต่เปิดไฟในห้องนอน แล้วเข้านอนเลย คืนนั้นผ่านไปด้วยดี ไม่ได้ฝันอะไรแต่กว่าจะข่มตาให้หลับได้นานพอสมควร



เช้าวันใหม่ ข้าพเจ้าก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ ขณะที่กำลังทำกับข้าวอยู่นั้น ก็เกิดขนลุกที่ขาซ้ายอีกแล้ว ความรู้สึกเดียวกับเมื่อคืนนี้เลย “โอ้โน..อย่าบอกนะว่ามาอีกแล้ว” ข้าพเจ้านึกในใจ แต่ก็ทำใจแข็งไว้ บอกกับตัวเองว่าไม่กลัว ไม่กลัว ไม่กลัว แล้วก็ทำกับข้าวต่อไป แต่รู้สึกตลอดเวลาเลยว่าเหมือนมีใครมากอดที่ขาซ้ายเรา เพียงแต่พยายามไม่สนใจ ไม่มอง ไม่อยากเห็นแล้ว “อยากกอดก็กอดไปเบื่อเมื่อไรก็ไปล่ะกันนะ” ข้าพเจ้าพูดบอกผีเด็กนั้นไป



ตอนนั้นยังไม่ได้เปิดญานทัศนะ (เปิดตาที่สาม)ใดๆ แต่ก็จะเห็นหรือสัมผัสกับโลกทิพย์มาตลอดตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่พักหลังที่ฝึกมโนมยิทธิจะได้เห็นบ่อยและมากขึ้น เห็นแบบจะๆ ก็เยอะ ยิ่งแว๊บๆ ผ่านไปมาเห็นแทบทุกวัน เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเพราะฝึกเองไม่ได้มีครูคอยสอน เพิ่งจะมามีครูสอนที่ไปเปิดญานทัศนะนี้เองค่ะ แต่ก่อนหน้าที่จะเปิดญานทัศนะกับอาจารย์ไม่นานนักได้รู้จักอาจารย์ในฐานะเพื่อนรุ่นน้องก็จะมีโทรคุยกัน แชตกันบ้าง แบบเพื่อน ขอคำแนะนำบ้าง ตอนนั้นยังไม่คิดว่าเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันหรอกค่ะ มาเริ่มนับถือเป็นอาจารย์จากวันที่เปิดญานทัศนะให้นั้นเอง



ตกกลางดึกวันนั้น ข้าพเจ้าก็แชต msnกับอาจารย์ (ตอนนั้นยังคิดแบบเพื่อนรุ่นน้องอยู่ค่ะ) ก็ถามไปว่า



ข้าพเจ้า : เจ(นามสมมุติ) พอเห็นอะไรแปลกๆที่บ้านพี่ไหม
เจ : พี่หมายถึงอะไรครับ
ข้าพเจ้า : เออ..คือ เมื่อคืนนี้พี่เจอดีน่ะ จนมาตอนนี้ก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่น่ะ พอดูให้พี่หน่อยได้ไหมว่ามันคืออะไร
เจ : ได้ครับ ไหนเป็นอย่างไรเล่ามาซิครับ
ข้าพเจ้า : คือ ตอนนี้เลยนะ พี่รู้สึกขนลุกเป็นพักๆ เหมือนมีใครมากอดที่ขาซ้ายและลูบขาพี่น่ะ
เจ : อ๋อ เด็กน้อยพี่ 555+
ข้าพเจ้า : ไม่ขำเลยนะ รู้จ๊ะว่าเด็กปรากฏตัวให้เห็นแล้ว แล้วมาทำไม มากอดขาพี่ทำไมเนี้ย
เจ : เขาขอมาอยู่ด้วยน่ะ เจอแล้วชอบถูกชะตาอยากมาอยู่ด้วย



ข้าพเจ้า : มีอย่างงี้ด้วย ตามมาซะง่ายๆอย่างนี้เลย แล้วตามมาจากไหนหรอ
เจ : จากสระน้ำ เขาตกน้ำตายที่นั้น พี่ไปเที่ยวไหนมาล่ะ ที่เป็นสระน้ำใหญ่ๆน่ะ
ข้าพเจ้า : ออ..ไปเที่ยวต่างจังหวัดมา บ้านเพื่อนแฟนพี่น่ะ เป็นวังเก่าๆ และมีสระน้ำอยู่ด้านหลังวัง ใช่ที่นั้นไหม
เจ : ใช่แล้วครับ เขาเห็นพี่เลยเกาะตามมาด้วย เห็นพี่มีลูกชายด้วยไงได้มีเพื่อนเล่น
ข้าพเจ้า : เอ้า..มีอย่างงี้ด้วย อยากตามก็เกาะมาซะงั้นเลย แล้วเขาเข้าบ้านพี่มาได้อย่างไรล่ะ
เจ : ก็เขาเกาะมากับขาพี่ ท่านเจ้าที่ก็คิดว่ามาด้วยกันกับพี่ไง ก็เลยปล่อยให้เข้ามา
ข้าพเจ้า : โอ้ย..ท่านเจ้าที่ขา ไม่ได้มาด้วยกันนะ เด็กมันเกาะตามมาเองเจ้าค่ะ
เจ : 555+ สายไปแล้ว เขาเข้ามาได้แล้วน่ะพี่



ข้าพเจ้า : แล้วพี่ทำอย่างไรดีล่ะ จะมาเกาะขากันอยู่อย่างนี้ตลอดไปหรอ
เจ : ก็โอนบุญให้เขาซิครับ ถ้าพี่อนุญาตให้เขาอยู่ด้วยได้ เขาก็จะปล่อยไม่เกาะขาพี่แล้วล่ะครับ
ข้าพเจ้า : โอนบุญน่ะได้เลย แต่จะขออยู่ด้วยนี่ ดีหรอ เป็นผีเด็กดีไหมเนี้ย ขืนมาเกเรไม่เอาด้วยนะ
เจ : ไม่หรอกพี่ น่าจะผีเด็กดีอยู่นะ
ข้าพเจ้า : ถ้าพี่ให้อยู่ก็เหมือนพี่รับเลี้ยงเขาใช่ไหม อย่างนี้ จะดีหรอ วันหนึ่งเกิดลืมเขาขึ้นมาไม่เล่นงานพี่แย่หรอ เอาไงดีอะเจ พี่รับไว้ดีหรอ
เจ : ก็แล้วแต่พี่นะครับ แต่เลี้ยงไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนะ ไม่ต้องยุ่งยากอะไรแค่เวลาพี่แผ่เมตตาก็โอนบุญให้เขาด้วยล่ะกันแค่นั้นแหละครับ พอเขารับบุญจากพี่บ่อยๆ เขาก็จะมีอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือพี่ได้นะครับ
ข้าพเจ้า : อือ..น่าคิดๆ แต่บอกก่อนนะถ้าเกเร ไม่รับนะ ไม่อนุญาตให้อยู่ด้วยนะ ถ้าผีเด็กดีอยู่ได้
เดี๋ยวมาพาลูกพี่เก ไม่เอานะ



เจ : เอา..รับปากพี่เขาไหมล่ะเราเจ้าผีเด็ก พี่เขายอมให้อยู่ด้วยแล้วก็เป็นเด็กดีนะรู้ไหม
ข้าพเจ้า : แล้วไม่ต้องมาให้เห็นอีกด้วยนะ รู้แล้วว่าอยู่ด้วยนะ อยากได้อะไรมาบอกในฝันล่ะกัน รับปากนะ
เจ : เด็กรับปากครับพี่ คืนนี้ตอนแผ่เมตตาก็โอนบุญให้เขาด้วยนะครับ
ข้าพเจ้า : จ้า ขอบใจนะเจ ช่วยเป็นล่ามให้ เมื่อคืนพี่แทบแย่ไม่ได้นอนเลย เล่นมาให้เห็นจะๆ 2 ครั้งแน่ะ หวังว่าตกลงกันได้แล้วไม่ต้องโผล่มาให้เห็นแล้วนะ
เจ : 555+ เห็นบ่อยขนาดนี้ ยังจะกลัวอยู่อีกหรอพี่
ข้าพเจ้า : เหอะๆ บ่อยแค่ไหน ก็กลัวอะ ไม่ใช่คนนี้น่า เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เดี๋ยวผุบเดี๋ยวโผล่แต่ละทีธรรมดาซะทีไหนกันละ ผีน่ะ อึ๋ย..ย
เจ : 555+ เดี๋ยวจะเห็นบ่อยมากกว่านี้อีกนะ รีบๆชินกับมันซะนะ
ข้าพเจ้า : ผีเนี้ยนะ มาบอกให้ชินกับมัน พูดเหมือนว่าผีเป็นตุ๊กตางั้นแหละหนอ...





หลังจากคืนนั้นผีเด็กตนนั้นก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย จนกระทั้งวันที่เปิดญานทัศนะนั้นแหละค่ะ เกาะขาไม่เลิกเลยจริงๆ (ผี)เด็กหนอเด็ก วันเปิดญานก็โอนบุญชุดใหญ่เปลี่ยนภพภูมิให้เสร็จสรรพ แต่..ผีเด็กตนนั้นก็ขอตามไปอยู่กับอาจาย์ซะแล้วในวันนั้น เกาะเรามาตั้งนานอยู่ๆก็ไปง่ายๆ ซะงั้น อิอิ ไปดีก็มีสุขด้วยจ้า เจ้าผีเด็ก



บึงน้ำที่กล่าวถึงค่ะ
สังเกตุดูขอบรูปด้านซ้ายนะคะไม่ปกติ
สาบานได้ว่าไม่ได้ตัดแต่งภาพแต่อย่างใดค่ะ



..........................................................................................





สัมภเวสีที่ตามเกาะเรามาบางตน เขาก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายอะไรเราก็มีนะคะ อย่าเพิ่งไปขับไล่เขาเลย เขาเดือดร้อนมาต้องการหาที่พึ่งก็ได้ หากเราพอจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้บ้างก็ให้เขาอยู่กับเราไปเถอะค่ะ พอถึงเวลาที่เขาจะได้ไปเกิดในภพใหม่แล้วเขาก็ไปเองค่ะ พวกเขาน่าสงสาร สัมภเวสีเขาไม่มีที่ไปกัน ขออยู่ด้วยเพื่อต้องการแค่บุญที่โอนให้เขาบ้างเท่านั้นเองค่ะ อย่าไปกลัวเขาเลย เผื่อสักวันใครจะไปรู้ว่า เราอาจจะตกในฐานะเดียวกันกับเขาก็ได้นะ
โปรดเอื้อเฟื่อต่อสัมภเวสีและผีเด็ก ให้เขามีที่พึ่งด้วยนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เจ้าเวรตามทวงหนี้กรรม

ต่อจากตอนที่แล้ว ตะลุยโลกทิพย์ครั้งแรกในชีวิต หากท่านใดยังไม่อ่านกลับไปอ่านก่อนนะคะ จะได้เข้าใจเนื้อเรื่องมากขึ้นค่ะ  
http://banimboondiarynitan.blogspot.com/2009/12/blog-post.html

ตามที่ได้ทิ้งท้ายเรื่องที่แล้วไว้ว่า เจ้าเวรมาตามทวงหนี้กรรมกับข้าพเจ้า มากันแบบไหน และทำอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังต่อนะคะ

หลังจากที่กลับมาจากร้านแห่งนั้นแล้ว กำลังจะถอนออกสมาธิ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็เจ็บที่เท้า(ตรงระหว่างตาตุ่มกับส้นเท้าน่ะค่ะ) จากเจ็บแป๊บๆ ค่อยๆ เจ็บมากขึ้นๆ จนทนไม่ไหว เจ็บเหมือนมีของแหลมมาแทงทะลุเท้าเราลงไปปักกับพื้นเลย เพราะไม่สามารถขยับเท้าที่เจ็บได้เลย ยิ่งขยับก็ยิ่งเจ็บ พยายามที่จะฝืนเอี้ยวตัวทำทุกอย่างที่จะขยับเท้าให้ได้ (ที่แรกคิดว่าเหน็บคงกิน เพราะนอนแบบไม่ขยับตัวเลยนานไปหน่อยมั่ง) ไม่ว่าจะพยายามทำอย่างไรก็ตาม เท้าข้างนั้นก็ขยับไม่ได้เลย และเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนต้องร้องบอกอาจารย์

ข้าพเจ้า : อาจารย์ช่วยด้วย อะไรที่เท้าข้าพเจ้าหรอ เจ็บเหลือเกิน
อาจารย์ : อืม..เห็นแล้ว กำหนดจิตดูซิ ว่าคืออะไร
ข้าพเจ้า : เห็นเป็นเหมือนหอกหรอ ปักที่เท้าข้าพเจ้าอยู่
อาจารย์ : ใช่ แล้วเห็นไหมว่าใครทำ
ข้าพเจ้า : เห็นไม่ชัดน่ะ แต่ร่างไม่เหมือนคนเลยนะ ร่างใหญ่ๆ สัตว์ 4 เท้า
อาจารย์ : ถูก เขาเป็นช้าง เราเคยทำเขาไว้เช่นนี้ เมื่อในอดีตชาติไง เอ้า..ลองย้อนกลับไปดูในอดีตชาติที่เคยทำกับช้างเชือกนี้ซิ
ข้าพเจ้า : โอ้ย..จะไปอย่างไงล่ะอาจารย์ปวดจะตายอยู่แล้วทำใจให้สงบไม่ได้หรอกจ้า
อาจารย์ : อย่าพึ่งโวยวาย เดี๋ยวจะต่อรองให้ก่อนโอเค
ข้าพเจ้า : จ้าอาจารย์

แล้วอาจารย์ก็ทำการต่อรองกับช้างเชือกนั้น

อาจารย์ : เจ้าพญาช้าง ท่านต้องการสิ่งใดรึ ถึงทำกับแม่นางเขาเยี่ยงนี้
พญาช้าง : มันเคยทำข้าไว้ มันทำให้ข้าเจ็บปวดเยี่ยงนี้เช่นกันจนข้าตาย
อาจารย์ : อืม..ตอนนี้แม่นางเขาจำไม่ได้แล้วว่าเคยทำอะไรท่านไว้นะ
พญาช้าง : ข้าไม่สน มันจำได้หรือไม่ได้ แต่ข้าจำได้ไม่มีลืม ข้าจะทำให้มันจำได้เอง
(เสียงท่านพญาช้างดังแบบกึกก้องมาก เหมือนเปิดเสียงโฮมเธียเตอร์เลย)

แล้วก็เกิดภาพ(เหมือนนอนดูทีวี) สี่เหลี่ยมขึ้นและมีเหตุการณ์ในสนามรบเกิดขึ้นในสี่เหลี่ยมนั้น เห็นตัวข้าพเจ้าเองเป็นทหารกำลังรบต่อสู้กับพวกพม่าอยู่ ข้าพเจ้าได้เอาหอกแทงที่เท้าช้าง (บริเวณเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าเจ็บอยู่เลย) เพราะข้าพเจ้ายืนอยู่กับพื้นดิน ต้องการให้ช้างนั้นล้มลงแล้วจะได้จัดการกับคนที่อยู่บนช้างได้ ช้างก็ล้มลงอย่างที่ข้าพเจ้าคิดและข้าพเจ้าก็ฟันคอคนที่อยู่บนหลังช้างได้อีกด้วยดั่งที่คาดไว้ คนตายทันทีหัวกระเด็นออกจากคอ แต่ช้างยังไม่ตายนอนเจ็บปวดทรมานอยู่ แล้วข้าพเจ้าก็หันไปรบกับคนอื่นต่อไปโดยทิ้งหอกปักที่เท้าช้างไว้อย่างนั้น จึงทำให้ช้างเชือกนี้ อาฆาตแค้นกับข้าพเจ้ามากเพราะเขาต้องทรมานมากกับหอกแหลมที่ข้าพเจ้าได้ปักไว้ที่เท้าของเขา ทำให้เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย และช้างก็หมดลมหายใจตายอย่างเจ็บปวดทรมาน

ข้าพเจ้าดูทีวีไป เอ้ย..ไม่ใช่ ดูนิมิตไปก็น้ำตาไหลไป สงสารช้างจับใจ ทำไมเราใจร้ายทำเขาได้ขนาดนี้

ข้าพเจ้า : ข้าพเจ้ารู้แล้ว ว่าเหตุใดท่านถึงแค้นข้าพเจ้ามากนัก ข้าพเจ้าทำร้ายท่านไว้มาก ทรมานท่านมากเหลือเกินจริงๆ สมควรแล้วที่ท่านอาฆาตแค้น
ข้าพเจ้าพูดไปก็ร้องไห้ไป สำนึกกับบาปกรรมที่เคยทำไว้กับเขา
อาจารย์ก็พูดกล่อมพญาช้างขึ้นมาว่า
อาจารย์ : ท่านพญาช้างเอ่ย ปล่อยนางไปเถอะนะ ท่านทำนางตายแล้วอย่างไร ท่านได้แต่ความสะใจได้แก้แค้น แล้วท่านก็ต้องได้รับกรรมเพิ่มอีกงั้นหรือ มันไม่คุ้มกันเลย ท่านคิดดูให้ดีนะยอมรับบุญจากนาง เพื่อเป็นการถ่ายโทษเถอะนะ ท่านได้ไปสบายไม่ต้องมามัวตามแก้แค้นและก่อกรรมเพิ่มอีกด้วยนะ

ข้าพเจ้าได้ยินอาจารย์พูดเช่นนั้น จึงกล่าวเสริมต่ออาจารย์ทันทีว่า
ข้าพเจ้า : ใช่ๆ จ๊ะ ท่านพญาช้าง ข้าพเจ้าขอถ่ายบาปนี้ด้วยบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาทั้งในอดีตชาติทุกชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ อ้อๆ ข้าพเจ้าจะไปบวชชีพราหณ์ม พรุ่งนี้ 8 วัน
ข้าพเจ้าขอโอนบุญนี้ให้ท่านทั้งหมดเลยด้วยนะ ขอท่านโปรดเมตตา อโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าท่านต้องเจ็บปวดทรมานแค่ไหนก่อนท่านตาย ข้าพเจ้ารับรู้แล้วว่าข้าพเจ้าทำร้ายท่านไว้มากเหลือเกินจริงๆ ข้าพเจ้าขอขมาและขออโหสิกรรมจากท่านพญาช้างด้วยเถิด
พญาช้าง : ได้ แล้วข้าจะมารับบุญจากเจ้าอีกทีหลังจากวันที่เจ้าออกศีล

แล้วภาพท่านพญาช้างก็ค่อยๆ หายไป หอกที่แทงเท้าข้าพเจ้าอยู่ก็ค่อยๆ หายไปเช่นกัน ความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้งเลย

โอ้..เรื่องนี้ถ้าไม่เกิดกับตัว ไม่เห็นด้วยตาตนเองนี้ ไม่มีทางเชื่อแน่ๆ ว่าเจ้ากรรมนายเวรตามมาทวงหนี้ จะๆ ได้ขนาดนี้เลย แต่ยังไม่ทันจะขยับตัวไปไหนเลยก็รู้สึกเหมือนโดนบีบคอ “เอาอีกแล้ว มาอีกแล้วหรอ” ข้าพเจ้านึกในใจ แรงบีบยิ่งหนักมากขึ้น จนหายใจแทบไม่ออก

พยายามส่งเสียงบอกให้อาจารย์ช่วยด้วย แต่เหมือนไม่มีเสียง แล้วอาจารย์ก็หันมาทางเราแล้วพูดว่า
อาจารย์ : โดนอีกรายละซิ
ข้าพเจ้า : พยักหน้า และชี้นิ้วมาที่คอทำท่าว่าโดนบีบคอ ให้อาจารย์ดู พร้อมกับพูดด้วยว่า “อาจารย์ช่วยด้วยโดนบีบคอ” แต่ในความรู้สึกตอนนั้นเหมือนว่าเราพูดแล้วแต่ไม่มีเสียงคิดว่าอาจารย์คงไม่ได้ยินเลยทำท่าให้ดูด้วยเพื่อความชัวร์
อาจารย์ : อืม..เห็นแล้ว ได้ยินแล้วด้วย
ข้าพเจ้า : อ้าว..แล้วทำไมเราไม่ได้ยินเสียงตัวเองล่ะ (นึกในใจ)
อาจารย์ : เอาโอนบุญให้เขาซะและบอกเขาเรื่องจะไปบวชพรุ่งนี้ด้วยล่ะ เจ้านี้ไม่เท่าไร กำหนดจิตดูเอาเองว่าเขาเป็นใคร ไปทำอะไรเขาไว้ล่ะ
ข้าพเจ้า : โห..อาจารย์ไม่เท่าไหร่หรอเนี้ย บีบคอจะตายอยู่แล้วนะ
อาจารย์ : เออ..โอนบุญไป แล้วกำหนดจิตสื่อสารเอาเอง อาจารย์ไม่ได้จะอยู่กับเองตลอดไปนะ หัดช่วยเหลือตัวเอง
ข้าพเจ้า : จ้าอาจารย์

แล้วข้าพเจ้าก็กำหนดจิตดูว่าเขาคือใคร เราไปทำอะไรเขาไว้หนอ ถึงต้องมาบีบคอกันอย่างนี้ด้วยมาบอกกันดีๆ ไม่ได้หรือไงหนอท่านเจ้าเวร

ภาพสี่เหลี่ยมกำลังขึ้นมา ได้ยินเสียงอาจารย์ขึ้นมาก่อนว่า

อาจารย์ : เอาล่ะๆ เขาเป็นเจ้ากรรมเจ้าเรื่องความรักนะ โอนบุญให้เขาไปเลย แล้วออกจากสมาธิเร็วเข้า

ข้าพเจ้าก็งง อะไรของอาจารย์เนี้ย เมื่อกี้ยังบอกให้เราดูเองอยู่เลย ตอนนี้กลับเร่งให้เรารีบๆโอนบุญ รีบๆ ออกซะงั้น ข้าพเจ้าก็โอนบุญให้เขาและบอกให้เขาอีก 8 วันมารอรับบุญ จากศีล 8 อีกทีนะ เขาก็ไปแต่โดยดี คอที่โดนบีบอย่างแรงหายใจแทบไม่ออก ก็หายไปเฉยเลย

ขณะที่เรากำลัง งงๆ กับเหตุการณ์เจ้าหนี้มาทวงทั้ง 2 เหตุการณ์อยู่นั้น เสียงอาจารย์ก็ดังขึ้น
อาจารย์ : เอา ออกจากสมาธิเร็วเข้าเดี๋ยวก็โดนทวงอีกเป็น 100 หรอก

ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้นรีบออกจากสมาธิด่วน ไม่ไหวแค่ แค่ 2 รายก็จะแย่แล้ว ออกดีกว่า.....

พอออกจากสมาธิมาแล้ว อาจารย์ก็เล่าให้ฟังว่า
อาจารย์ : ที่เร่งให้ออกน่ะ เพราะอาจารย์เห็นว่าเขาวิ่งกรูเข้ามากันเป็น ร้อยๆ รายเลยล่ะจะมาเอาบุญจากเรากัน
ข้าพเจ้า : โหแล้วทำไมพร้อมใจกันมาขนาดนั้นอะ จะมาเอาอะไรกันบุญก็ใช้ว่าจะมีให้เยอะซะที่ไหนหนอ
อาจารย์ : ก็บุญที่จะไปบวชชีพราหณ์ม ครั้งนี้แหละ เขาได้ยินเขาก็อยากมาเอากันด้วยน่ะซิ บุญไม่ใช่น้อย ๆ นะ ยิ่งเขารู้แล้วว่าเราเห็นพวกเขาได้แล้วยิ่งจะมากันใหญ่น่ะซิ
ข้าพเจ้า : เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าทั้งนั้นเลยหรอ
อาจารย์ : ไม่ทั้งหมดหรอก บางรายก็เป็นสัมภเวสีแถวนี้แหละ อยากได้บุญก็มาขอกันบ้างไง
ข้าพเจ้า : ออ แล้วทำไมไม่ให้เขาล่ะอาจารย์ พวกเขาน่าสงสารออก
อาจารย์ : สงสารตัวเองซะก่อนเถอะ โดนแค่ 2 รายก็ค้างเหลืองแล้ว จะเช็คบิลให้หมดในวันเดียวเลยหรือไง ส่วนพวกสัมภเวสีน่ะ เดี๋ยวตอนเราแผ่เมตตาก็ส่งไปให้พวกเขาก็ได้ไม่จำเป็นต้องให้ผ่านทางสมาธิหรอกเหนื่อยเราเปล่าๆ เอาแรงไว้รับมือกับเครสหนักๆ ดีกว่านะ
ข้าพเจ้า : จริงด้วยซิ อาจารย์ แค่ 2 รายแทบตายแล้ว ขืนโดน 100 ราย ข้าพเจ้าคงได้ไปเกิดใหม่แน่ๆเลย 555+


อย่าประมาทในบาปกรรม แม้ว่าทำเพราะหน้าที่หรือจำใจทำ แต่เจ้ากรรมนายเวรเขาคอยตามทวงจากเราเสมอไม่มียกเว้น


บุญญาบารมี












วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ตะลุยโลกทิพย์ครั้งแรกในชีวิต


ครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับโลกทิพย์แบบเต็มๆ คือ วันที่เปิดญานทัศนะ หรือที่เป็นรู้จักกันมากในอีกชื่อหนึ่ง คือเปิดตาที่สาม นั้นเองค่ะ



ข้าพเจ้าได้ให้อาจารย์ท่านหนึ่ง ทำพิธีเปิดญานทัศนะให้ด้วยการใช้ไข่ไก่ถูที่ตา หน้าผาก หน้าอก(ใจ) แขน มือ และตามตัวต่างๆ ค่ะ แต่จะเน้นที่ตา หน้าผากและมือ มากกว่าที่อื่นค่ะ



หลังจากทำพิธีไหว้ครูกันเรียบร้อยแล้วอาจารย์ก็ถูไข่ไก่ที่ตาข้าพเจ้าประมาณ 2-3นาทีก็เกิดแสงสีส้มๆค่อยๆจ้าขึ้นๆ จนแสบตา จำได้ว่าคำถามแรกที่อาจารย์ถามคือ  

อาจารย์  :  “นับถือพระราหูหรอครับ”
ข้าพเจ้า  :  “ใช่ค่ะ” ข้าพเจ้าได้ทำพิธีไหว้พระราหูและบูชามาพอสมควรค่ะ


ช่วงที่พระราหูดังๆ นั่นแหละค่ะ แต่ทุกวันนี้ถึงท่านจะไม่ดังเหมือนช่วงนั้นแล้วแต่ข้าพเจ้าก็ยังนับถือท่านไม่เคยเปลี่ยนค่ะ



และอาจารย์ก็พาข้าพเจ้าเข้าไปสัมผัสกับโลกทิพย์ทางตา โดยการมองเห็นเหมือนภาพนิมิตที่เกิดตอนเรานั่งสมาธิน่ะค่ะ บางทีไม่มีภาพแต่รู้สึกได้ด้วยกายและได้ยินเป็นเสียงเหมือนมีใครมาบอกค่ะ



สิ่งแรกที่เห็นคือ
อาจารย์  :  “รู้สึกอะไรที่ขาด้านซ้ายเราไหม”
ข้าพเจ้าก็มองตาม (ใช้ความรู้สึกว่ามองตามแต่ไม่ได้ลืมตามองนะคะ)

ข้าพเจ้า : "เห็นค่ะ เห็นเด็กผู้ชายอายุ  6-7 ขวบ หน้าตาซีดมากๆ เหมือนคนจมน้ำตายน่ะค่ะ อยู่ที่ขาด้านซ้ายของข้าพเจ้า


เด็กคนนี้ก่อนหน้าที่จะมาเปิดตา เคยเห็น2ครั้งแล้วที่บ้านของข้าพเจ้า  (แล้วจะมาเล่าให้ฟังทีหลังนะเรื่องเด็กคนนี้) อาจารย์ก็บอกว่าเด็กเขาตามมาจากสระน้ำแห่งหนึ่งที่เราไปเที่ยวมาน่ะค่ะ แหะๆ ก็สยองพอสมควรกับสถานที่ที่ว่านี้ ที่ข้าพเจ้าไปเที่ยวมาน่ะค่ะ เลยได้เด็กคนนี้มาเป็นของฝากจากการเที่ยวครั้งนั้นด้วยเลย 555+

หลังจากตั้งชื่อ โอนบุญให้เด็กคนนั้นเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็พาข้าพเจ้าไปเที่ยวร้านไทยแห่งหนึ่ง



พอไปถึงหน้าร้านก็ขออนุญาตท่านเจ้าที่ ตายายของร้านแห่งนั้น ท่านก็อนุญาตให้เข้าได้ค่ะ พอเข้าไปข้างใน อาจารย์ก็พาชมสิ่งศักดิ์ทั้งหลายที่อยู่ที่ร้านนี้ค่ะ ที่เห็นชัดมากๆเลยก็มี พระพิฆเนศ, พระสุพรรณกัลยา, ท่านเงาะป่า, ขณะที่กำลังเพลินกับการชมบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น ก็ต้องตกใจ เมื่อไปเห็นชายหนุ่มฉกรรจ์ หน้าดุเหมือนนักรบไทยโบราณ ยืนถือมีดด้ามใหญ่มาก ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมากค่ะ แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือแกล้งทำเป็นไม่เห็นแล้วเดินเข้าไปข้างในต่อ
ก็เจอนางหนึ่งหน้าตาสวย แต่นุ่งผ้าเก่าๆ สีหมองๆ หน้าเศร้าๆ อาจารย์ให้เราสอบถามที่มาที่ไปของนาง

ข้าพเจ้า :  ท่านเป็นใครหรอ แล้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ผีสาว     :  เราเป็นผีตายโหงโดนคาถาอาคมสะกดไว้ เป็นผีในน้ำมันพราย อยู่ในขวดน้ำมันพรายนั้นน่ะ
ข้าพเจ้า :  โถ..ช่างน่าสงสารจัง   อาจารย์มีวิธีช่วยนางอย่างไรได้บ้างไหมค่ะ
อาจารย์  :   มีซิ  เจ้าก็โอนบุญของเจ้าน่ะ ให้แม่นางเขา และขออารธนาบารมีพระรัตนตรัย ท่านท้าวเวสสุวรรณขอคลายคาถาอาคมที่สะกดนางไว้อยู่ ณ บัด

ข้าพเจ้าก็ทำตามที่อาจารย์บอกทุกอย่างและขณะที่โอนบุญให้นาง เมื่อข้าพเจ้าโอนบุญให้นางไปปุ๊ป นางพนมมือรับอนุโมทนาบุญจากข้าพเจ้า จากที่เสื้อผ้าหมองๆเก่าๆ นั้นกลายเป็นใหม่เอี่ยม หน้าตาสดใส มีน้ำมีนวลขึ้นมาทันตา นางมีแสงรอบตัวด้วย โอ้...เป็นอย่างนี้นี่เองที่เขาพูดกันว่าเมื่อผีได้อนุโมทนาบุญจากเราแล้วเขาจะเปลี่ยนภพภูมิได้ เป็นเช่นนี้เอง เรารู้สึกปิติ ปลื้ม และภูมิใจมากที่ได้เห็นภาพนั้น เพราะสิ่งนี้ด้วยที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจอยากเปิดญานทัศนะ ทั้งๆที่เป็นคนกลัวผีมากถึงมากที่สุด แต่ด้วยความอยากเห็นภาพนี้กับตาหลังจากที่ได้ยินและได้ฟังจากที่เขาเล่าๆกันมาน่ะค่ะ เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจหาคำพูดใดมาเปรียบเปรยได้เลย ว่าปลาบปลื้มและภูมิใจกับบุญที่เราได้ทำมาทั้งหมดนั้น ได้โอนให้ผีที่ทุกข์แล้วเขาสามารถดีขึ้นได้ทันตาขนาดนี้เลย.....สุขแบบสุดจะบรรยายจริงๆค่ะ

ผีสาว     :  ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้า  ข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านเลย
ข้าพเจ้า :  ไม่เป็นไรหรอกแม่นาง  เรายินดีและดีใจที่เห็นท่านดีขึ้นเช่นนี้ค่ะ



หลังจากโอนบุญให้นางผู้นั้นไปแล้ว ก็มีผีตัวอื่นออกมาอีกกันมาก ข้าพเจ้าก็โอนบุญให้แบบรวมๆ ให้ทุกตนเลย เขาก็ยกมืออนุโมทนากัน ก็เปลี่ยนไปเป็นเทวดานางฟ้ากันมากมายนับร้อยๆ ตนได้ค่ะ หลังจากที่ผีเหล่านั้นได้รับบุญและเปลี่ยนภพภูมิไปแล้ว ข้าพเจ้าก็กำลังปลื้มกับผลงานของตัวเองอยู่นั้น

ก็ต้องตกใจสุดขีดอีกครั้งกับหนุ่มฉกรรจ์หน้าตาดุท่านนั้น แต่คราวนี้เขาไม่ได้มาแค่ 1 แต่มาถึง 3 ตน แต่มี 1 ตนที่ถือ มีดใหญ่มาก ทั้ง 2 มือ โพกผ้าที่หน้าผาก นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลเก่าๆ ดูดุและน่าเกรงขามมากเลย 3 ท่านนี้ไม่ยอมรับบุญจากข้าพเจ้าหนำซ้ำยังดุใส่ข้าพเจ้าอีก ด้วยความที่มือใหม่ เลยเรียกหาอาจารย์ทำไงต่อไปดี เพราะดูท่าแล้วเขาจะไม่ยอมให้เรากลับไปง่ายๆแน่ เหมือนอยากจะฆ่าจะแกงเราให้ได้ แล้วอาจารย์ก็ถามที่มาที่ไป ของพวกเขากัน

อาจารย์   :  ทำไมพวกท่านถึงมาอยู่ที่ร้านนี้ได้
ผีทหารโบราณ  :  ข้าถูกจับมาเป็นบริวารและมาทำตามหน้าที่ที่หมอผีสั่งมา
อาจารย์   :   เขาสั่งให้พวกเจ้ามาทำอะไรรึ
ผีทหารโบราณ  :  มาทำร้ายเจ้าของร้านนี้ และฆ่าทุกคนที่ขัดขวาง

“โห..ขนาดนั้นเลยหรอ ใจร้ายจัง” ข้าพเจ้าเผลอร้องออกไป

คนที่ถือมีด 2 มือนั้นหันมามองข้าพเจ้าด้วยสายตาอันหน้ากลัวเหมือนอยากจะฆ่าข้าพเจ้าเสียให้ได้ ตอนนั้นยอมรับว่ากลัวมาก กลัวสุดขีดแต่ก็ไม่รู้ทำไม ถึงยังอยู่ตรงนั้นต่อได้ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร และอาจาย์ก็ทั้งกล่อม ทั้งขู่ ให้ 3ตนนั้นยอมซะดีๆ พูดกันดีๆ อย่าให้ถึงต้องเรียกท่านพญายมมาเลย มี 2 ตนที่ยอมอ่อนข้อ และยอมรับบุญจากข้าพเจ้าแต่โดยดีแล้วเขาก็เปลี่ยนไปมีสีสันมากขึ้นแต่ยังไม่ใช่เทวดาเต็มตัวเป็นกึ่งผีกึ่งเทวดาไป

แต่อีก 1 ตน ที่ดุกว่าเขาไม่ยอม ทำอย่างไรก็ไม่ยอมจะฆ่ากันให้ได้ว่างั้น อาจารย์จึงอัญเชิญท่านท้าวเวสสุวรรณและบริวาร เพื่อมาปราบผีร้ายตนนี้ ที่หนีจากการชดใช้กรรมมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้



สักพักก็มีร่างหนึ่ง สูง ใหญ่มาก ข้าพเจ้ามองจากปลายเท้าท่านไล่ขึ้นไปแหงนหน้าขึ้นจนสุดคอ เพราะร่างท่านใหญ่มากๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยค่ะ และเมื่อได้เห็นหน้าของท่าน ข้าพเจ้าอ้าปากค้างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลย ท่านคือ ท่านท้าวเวสสุวรรณ ค่ะ ท่านมาในร่างเทวดามีใบหน้าที่หล่อมาก คม ตาดุ แต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่น เคยได้ยินแต่ว่าท่านท้าวเวสสุวรรณเป็นยักษ์ หน้าดุๆ มีเขี้ยว ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านท้าวเวสสุรรณจริงแล้วท่านก็มีภาคที่เป็นเทวดาที่หล่อมากๆ ด้วย



อาจารย์คงเห็นข้าพเจ้าตะลึงกับความหล่อ เอ้ย..ไม่ใช่ ตะลึงกับการเห็นท่านครั้งแรกในชีวิตไม่รู้จะต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง อาจารย์จึงบอกให้ข้าพเจ้าว่า

อาจารย์ : เอ้า..มัวแต่ตาค้างอยู่นั้นแหละก้มลงกราบท่านและขอบารมีท่าน ฝากตัวเป็นศิษย์ท่านซะ

ข้าพเจ้าก็ทำตามที่อาจารย์บอกทุกอย่าง



จากนั้นท่านก็สั่งให้บริวารท่านจับผีหนุ่มฉกรรจ์หน้าโหด ตนนั้นไป ขนาดว่าโดนใส่โซ่ล่ามอันใหญ่แล้วนะ แต่สายตาที่เขาจ้องมองข้าพเจ้าหน้ากลัวมากเหมือนแค้นข้าพเจ้ามาก



“ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม จากท่านทุกประการไว้ ณ ที่นี่ด้วยเถิด” ข้าพเจ้าได้กล่าวขอขมาจากผีตนนั้นก่อนที่เขาจะหายไปกับท่านนิรบาล แล้วข้าพเจ้าก็หันมามองอีกด้านของร้านที่เหล่าเทวดานางฟ้าท่านอยู่กัน ต่างพากันดีใจกันใหญ่ เหมือนว่าได้เป็นอิสระกันแล้วอย่างนั้น



และข้าพเจ้ากับอาจารย์ก็เข้าไปกราบท่านท้าวเวสสุวรรณอีกครั้งเพื่อขอบพระคุณที่ท่านเมตตามาโปรดช่วยเหลือ เมื่อข้าพเจ้าแหงนหน้ามองท่านอีกครั้ง ท่านก็หายไปค่ะ




เป็นการสัมผัสโลกทิพย์แบบเต็มๆ ครั้งแรก ที่ทั้งหน้ากลัว สยดสยอง เกือบเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ แต่ก็ได้เห็นภาพที่ประทับใจมากที่สุด ได้เห็นในสิ่งที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเปิดญานทัศนะ ได้เห็นท่านท้าวเวสสุวรรณตัวจริงๆ (จะเรียกอย่างไรดีหนอ) ที่ไม่ใช่ตามวัดวาอารามหรือจากในฝัน ใดๆ ถือว่าเป็นความประทับใจแรกที่มิอาจลืมเลือนได้เลยค่ะ




ยังค่ะยังไม่จบแค่นี้กับการสัมผัสโลกทิพย์ครั้งแรกของข้าพเจ้า เพราะหลังจากที่กลับมาจากร้านแห่งนั้นแล้ว มาอยู่ที่บ้านคุณแม่ของข้าพเจ้ากำลังจะถอนก็ได้มีเจ้ากรรมของข้าพเจ้าเอง ได้มาทวงถามหนี้ ที่ข้าพเจ้าเคยติดพวกเขามากัน(ไม่ใช่เจ้าหนี้เงินกู้นะ แต่เป็นเจ้าหนี้กรรม) เจ้ากรรมของข้าพเจ้าจะมาทวงถามแบบไหนและทำอย่างไรกับข้าพเจ้าบ้างนั้น ติดตามต่อในตอนหน้านะคะ









คำเตือน : ตัวละคร เนื้อเรื่องและสถานที่ มีจริงและเกิดขึ้นจริง แต่ท่านโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านนิทานโลกทิพย์นะคะ





ทุกบทความในเวป http://www.banimboon.blogspot.com/ เป็นลิขสิทธิ์
ของบ้านอิ่มบุญ ห้ามดัดแปลง คัดลอก หรือนำไปเผยแพร่
ก่อนได้รับอนุญาต

บ้านอิ่มบุญ

บ้านอิ่มบุญ
กลับหน้าหลัก